ตอนที่ 0016 ต่อรอง



ถนนอันซีเงียบสงัด  แสงจันทร์สาดส่องลงบนพื้นถนนหินสีเขียวอ่อน  เสมือนสายน้ำไหลริน  สงบนิ่งและใสกระจ่าง


เฉินจี้ยืนอยู่ด้านในประตูอย่างเงียบงัน  หยุนหยางด้านนอกก็ไม่เร่งรัด  ทั้งสองคนกั้นด้วยบานประตู  ยืนนิ่งเงียบอยู่เช่นนั้น


เฉินจี้ครุ่นคิดอยู่นาน  ในที่สุดก็สูดหายใจลึก  บรรจงดึงประตูเปิดออกพร้อมเสียงเอี๊ยดอ๊าด  “ท่านหยุนหยาง  มีธุระอะไรหรือขอรับ”


ด้านนอกประตู  หยุนหยางสวมชุดดำหัวจรดเท้า  เสื้อผ้าบนตัวเขาเรียบร้อยราวกับเพิ่งรีดมาหมาดๆ  ผมเผ้ารวบไว้บนศีรษะด้วยปิ่นปักผม  ดุจดังชายหนุ่มที่มักปรากฏในละครเวที


ทั้งสองคนยืนคั่นกลางด้วยธรณีประตูสูงๆ ของโรงยาไท่ผิง  หยุนหยางยิ้มถามว่า  “ไม่เชิญข้าเข้าไปนั่งหน่อยหรือ”


เฉินจี้ส่ายหัว  “ในโรงยาไม่มีที่ดื่มชา  เราคุยกันหน้าประตูดีแล้วขอรับ”


“หืม?”  หยุนหยางมองสำรวจเฉินจี้ด้วยความสนใจ  “เจ้าไม่รู้หรือว่าข้าเป็นคนของกรมสืบลับ  หมอหลวงเหยาไม่ได้บอกเจ้าหรือ”


“บอกแล้วขอรับ”


หยุนหยางเก็บรอยยิ้ม  พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย  “ถ้างั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่า  เมื่อกรมสืบลับบอกว่าจะไปนั่งในบ้านใคร  ยังไม่มีใครกล้าปฏิเสธ  เจ้าไม่กลัวข้าหรือ”


พูดจบ  เขาก้าวข้ามธรณีประตูเข้ามา  เดินผ่านเฉินจี้ไปราวกับไม่มีใครอยู่ตรงนั้น  มุ่งหน้าเข้าไปในโรงยา


“กลัวขอรับ”  เฉินจี้หันกลับมา  ยอมรับอย่างจริงใจ  “แต่ที่ข้าบอกให้คุยกันหน้าประตู  เพราะข้าทราบดีว่าท่านกำลังร้อนรน  ไม่อยากให้เสียเวลาของท่าน”


“อ้อ?”  หยุนหยางล้วงมือไพล่หลัง  พลางมองสำรวจโรงยา  พลางถามด้วยความอยากรู้  “ข้าร้อนรนอะไร”


เฉินจี้ยืนอยู่ตรงประตู  มองไปยังแผ่นหลังของหยุนหยาง  “พวกท่านจับคนของตระกูลหลิว  ทำให้ผู้เฒ่าตระกูลหลิวโกรธจนเป็นลม  บัดนี้เวลาเหลือน้อยแล้ว  อัครเสนาบดีและเสนาบดีกรมอาลักษณ์ตระกูลหลิวกำลังรีบกลับมาเมืองหลัว  พวกท่านคงร้อนรนกันมาก”


หยุนหยางหัวเราะขึ้น  “ด้วยข้อมูลเพียงแค่  หมอหลวงเหยาถูกตระกูลหลิวเชิญไปตรวจโรค  เจ้าก็กล้ายืนยันสถานการณ์ของข้าแล้วหรือ  ข้ามาครั้งนี้ตามพระบัญชาของอัครเสนาบดีฝ่ายใน  ตระกูลหลิวแล้วอย่างไร?  ข้าก็แค่สงสัยว่าเจ้าเป็นสายลับราชวงศ์จิ่ง  ตามข้าไปคุกในดีกว่า”


เฉินจี้พิงกรอบประตู  “ท่านหยุนหยาง  เราพูดกันตรงไปตรงมาดีไหม  หากท่านจะมาจับข้าเข้าคุกในจริง  จำเป็นต้องมาเองด้วยหรือ?  ส่งลูกน้องมาสักสองคนก็พอแล้ว”


หยุนหยางหันกลับมาจ้องเฉินจี้เขม็ง  สังเกตสีหน้าแน่วแน่ของเฉินจี้  “ในเมื่อเจ้าฉลาดขนาดนี้  ก็น่าจะรู้ว่าคืนนี้หมอหลวงเหยาไม่อยู่  ข้าจะเชือดเจ้าไม่ต้องหาเหตุผลด้วยซ้ำ  แล้วยังกล้าเปิดไพ่กับข้าอีกหรือ?”


เหตุที่เฉินจี้เปิดไพ่......ก็เหมือนที่หยุนหยางพูดกับโจวเฉิงอี้ไว้  เมื่อท่านเห็นกรมสืบลับแล้ว  ก็ไม่มีทางเลือกอื่น


ร่วมมือ  หรือไม่ก็ตาย


เพียงแต่  เขายังมีความคิดอื่นอีก


หยุนหยางเห็นเฉินจี้ไม่พูด  จึงกล่าวอย่างไม่รีบร้อน  “ในเมื่อเจ้าเป็นคนฉลาด  งั้นลองทายสิว่าข้ามาทำไม  หากทายถูก  แสดงว่าเจ้ายังมีคุณค่า”


เฉินจี้กล่าว  “ใครๆ ก็พูดกันว่า  กรมสืบลับประหารก่อนทูลทีหลัง  มีพระราชอำนาจพิเศษ  แต่อำนาจนี้ก็มีเงื่อนไข  นั่นคือพวกท่านต้องประหารให้ถูกคน”


หยุนหยางเลิกคิ้ว  “พูดต่อสิ”


เฉินจี้ขมวดคิ้ววิเคราะห์  “เรื่องที่ทำให้ท่านหยุนหยางมาหาข้ายามดึกดื่น  คงมีไม่มากนัก  ไม่พ้นเรื่องที่พวกท่านจับคนไปแล้ว  แต่หาหลักฐานมาตอกย้ำความผิดไม่ได้  บัดนี้ท่านผู้เฒ่าตระกูลหลิวใกล้สิ้นใจ  หากพวกท่านหาหลักฐานมาพิสูจน์ไม่ได้ว่า  การจับคนของพวกตนนั้นชอบธรรม  เกรงว่าคงได้ถูกอัครเสนาบดีฝ่ายในผลักออกมาเป็นแพะรับบาปแน่”


“ต้องอย่างนี้!”  หยุนหยางปรบมือ  พูดตรงไปตรงมาทันที  “เจียวถู่ตามเบาะแสที่เจ้าให้ไป  ลองค้นหาร้านกระดาษสายี่สิบสองร้านในเมืองหลัว  สุดท้ายพบสองร้านที่กระดาษสาเหมือนกับในจวนโจวเฉิงอี้  และเบื้องหลังยังเป็นธุรกิจของตระกูลหลิวทั้งคู่  แต่ว่า  เราหาหลักฐานอื่นในร้านกระดาษสาไม่พบ”


เฉินจี้ถามอย่างรวดเร็ว  “ใช้น้ำส้มทาลงบนกระดาษสาทั้งหมดหรือไม่”


“ทำแล้ว  แต่ไม่มีตัวอักษรใดปรากฏ”


เฉินจี้สงสัย  “ในเมื่อไม่มีหลักฐาน  พวกท่านกล้าจับคนทันทีได้อย่างไร”


หยุนหยางสะบัดแขนเสื้อหัวเราะเย็น  “กรมสืบลับของข้าจับสายลับราชวงศ์จิ่งมาช้านาน  คติคือฆ่าผิดดีกว่าปล่อยผ่าน  ปล่อยสายลับไปคนเดียว  แนวหน้าอาจตายไปร้อยนาย  หรือมากกว่านั้น  สามปีก่อน  เสบียงข้าวฤดูใบไม้ร่วงขนส่งจากคลองใหญ่ไปทางเหนือ  เพียงเพราะในกองทัพที่รับผิดชอบคุ้มกันเสบียงมีสายลับ  ก็เผาข้าวเสบียงราชวงศ์หนิงของเราไปสองพันสี่ร้อยสือ*  พอให้ทหารแนวหน้าหนึ่งพันนายกินกับม้าได้หนึ่งเดือน  เจ้าว่าผลที่ตามมาร้ายแรงหรือไม่”


(*สือ — หน่วยวัดน้ำหนักของจีนโบราณ เท่ากับ 100 ชั่ง หรือ 50 กิโลกรัม)


“แต่พวกท่านคาดไม่ถึงว่า  ผู้เฒ่าหลิวจะโกรธจนเจียนตาย  หากไม่เกิดเรื่องนี้  ลูกหลานหนุ่มสาวสักสองสามคนถูกจับก็จับไป  ใช่ไหม?”


หยุนหยางเผยสีหน้าอ่อนล้าเป็นครั้งแรก  “ใครจะคิดว่าตาแก่นี่ชีวิตบางเหมือนกระดาษ  บัดนี้เจียวถู่ยังคงเจรจากับตระกูลหลิวอยู่  พวกเราต้องไปหาหลักฐาน”


เฉินจี้ถาม  “ออกเดินทางเมื่อไหร่”


หยุนหยางก้าวข้ามธรณีประตูออกไปข้างนอกก่อน  “ทันที!”


“รอเดี๋ยวก่อน”


“หืม?”


เฉินจี้ไม่ขยับเขยื้อน  เพียงถามอย่างจริงจัง  “แล้วข้าได้อะไร”


......


......


หยุนหยางหยุดยืนหันกลับมา  เขายืนใต้แสงจันทร์บนถนนอันซี  มองมายังเฉินจี้ในโรงยาด้วยรอยยิ้มครึ่งๆ กลางๆ  “เจ้ากล้าต่อรองเงื่อนไขกับข้าหรือ”


เฉินจี้ไม่ได้ถ่อมตัวเพราะอำนาจของอีกฝ่าย  เพียงกล่าวอย่างจริงใจ  “ท่านหยุนหยาง  ท่านกับเจียวถู่ตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากเช่นนี้  แท้จริงไม่เกี่ยวข้องอะไรกับข้าเลย  แต่ข้าออกมือช่วย  ก็สมควรได้ค่าตอบแทนบ้าง  จะคิดว่าข้าเป็นจับกังที่ท่าเรือขนส่งก็ได้  รับเงินแล้วทำงาน”


หยุนหยางหัวเราะ  เขาก้าวมาข้างหน้าสองสามก้าว  สะบัดมือปักเข็มเงินใส่หน้าอกเฉินจี้  เข็มเงินเล็กราวขนวัว  ต้องพินิจดูใต้แสงจันทร์อย่างละเอียดจึงจะเห็นชัด


ในพริบตา  เส้นเลือดตรงคอเฉินจี้ปูดโปน  หน้าอกเจ็บปวดทรมานจนแทบทนไม่ไหว  เกือบจะเจ็บจนช็อกตาย


เสียงหยุนหยางแปรเปลี่ยนเป็นเย็นเยือก  “กรมสืบลับของข้าไม่เคยต่อรองราคากับใคร”


เฉินจี้ยืนเกาะขอบประตูโรงยา  หอบหายใจพลางกล่าว  “ย่อมต้องมีข้อยกเว้นบ้าง”


หยุนหยางถามย้อน  “ด้วยเหตุใด?  เจ้าเชื่อว่า  งานนี้ต้องเป็นเจ้าเท่านั้นหรือ”


เฉินจี้พลันยืดกายตรงขณะเกาะขอบประตู  จ้องมองเข้าไปในดวงตาของหยุนหยาง  “ใช่  ต้องเป็นข้าเท่านั้น”


โลกพลันเงียบสงัด


ราวกับมีความกดอากาศมหาศาลกระหน่ำลงมาบนถนนอันซี  กดข่มสรรพเสียงให้เงียบงัน


เฉินจี้กล่าวต่อ  “หากไม่ใช่เพราะต้องเป็นข้าเท่านั้น  ในช่วงที่ยากลำบากเช่นนี้  ท่านหยุนหยางก็คงไม่บากบั่นมาหาข้า  ผู้เป็นเพียงคนธรรมดาไร้ชื่อเสียง”


ในกรมสืบลับมีผู้เชี่ยวชาญในการจับกุมสายลับหรือไม่  แน่นอนว่ามี


แต่หยุนหยางเคยกล่าวไว้ว่า  พวกเขาถูกเรียกตัวมาเมืองหลัวชั่วคราว  อีกทั้งดูจากท่าทีของหยุนหยางและเจียวถู่  ทั้งสองไม่เหมือนหน่วยเชี่ยวชาญจับกุมสายลับโดยตรง  แต่กลับเหมือน...มือสังหาร


วันที่จับกุมโจวเฉิงอี้  หยุนหยางกับเจียวถู่ไม่ได้แสดงฝีมือด้านการต่อต้านสายลับเลย  กลับมีวิธีสังหารคนที่เด็ดขาดและแนบเนียนยิ่ง


บัดนี้  ทั้งสองถูกมอบหมายภารกิจสำคัญชั่วคราว  แต่กลับก่อเรื่องใหญ่จนผิดคาด


พวกเขาต้องการคนช่วยจัดการเรื่องที่ค้างคา...ต้องการคนฉลาดเฉลียว


หยุนหยางหรี่ตาลง  “ถึงข้าต้องการความช่วยเหลือจากเจ้า  แต่เจ้าไม่เกรงกลัวหรือว่า  ข้าจะแว้งหาเรื่องเจ้าภายหลัง?  ขอเตือนให้เจ้าชั่งใจทุกคำที่จะพูดกับข้า  หากไม่แล้ว เจ้าจะรับผลที่ตามมาไม่ไหว”


เฉินจี้กล่าว  “ท่านหยุนหยางคงต้องติดต่อกับสายลับอีกมากในภายหน้า  ที่ใดมีสายลับ  ที่นั่นย่อมมีความดีความชอบ  ข้าช่วยท่านได้ความดีความชอบ  ท่านจะมาหาเรื่องข้าไปทำไม?”


“อ้อ?”  หยุนหยางตาเป็นประกาย


ในบรรดาคำพูดมากมายที่เฉินจี้เคยเอ่ย  มีเพียงครั้งนี้เท่านั้น  ที่ดึงดูดความสนใจเขาได้อย่างแท้จริง!


“เจ้าคิดว่า  ตัวเองช่วยให้ข้าได้ความดีความชอบหรือ?”  หยุนหยางถามย้อน


เฉินจี้กล่าว  “สารส้มในจวนโจวเฉิงอี้  ก็ข้าเองเป็นคนหาพบ”


“ความดีความชอบนี้ไม่ใหญ่โตนัก”  หยุนหยางส่ายหน้า


เฉินจี้ส่ายหน้าเช่นกัน  “ผิดแล้ว  ความดีความชอบที่ข้าพูดถึงไม่ใช่โจวเฉิงอี้  แต่เป็นการที่ข้า...ไม่สิ  เป็นการที่ท่านหยุนหยาง  ค้นพบวิธีเขียนจดหมายลับของหน่วยข่าวกรองราชวงศ์จิ่ง  กรมสืบลับเคยจับสายลับ  ตรวจค้นบ้านเรือน  แต่พลาดวิธีตรวจสอบจดหมายลับนี้ไป  จึงพลาดข้อมูลมากมาย  หากใช้วิธีนี้ย้อนกลับไปตรวจสอบอีกครั้ง  อาจพบสิ่งที่คาดไม่ถึงในบ้านเรือนพวกเขาก็ได้”


ประกายในดวงตาหยุนหยางเริ่มสว่าง  “ใช่แล้ว!  คราวนี้จะให้เสนาบดีฝ่ายในรู้ว่า  ข้ากับเจียวถู่...”


เขาเหลือบมองเฉินจี้  เสียงหยุดชะงักทันที


หยุนหยางชั่งใจครู่หนึ่ง  “เจ้าต้องการผลประโยชน์แบบใด”


เฉินจี้กล่าว  “อำนาจ  ข้าต้องการตำแหน่งในกรมสืบลับ”


หยุนหยางพูดอย่างหงุดหงิด  “เจ้าคิดว่าข้าเป็นเสนาบดีฝ่ายในหรือไร  กรมสืบลับเป็นหน่วยงานที่มีอำนาจมากที่สุดภายใต้สังกัดสำนักพิธีการ  ทำงานลับที่สุด  จะรับใครต้องให้กรมอาญาตรวจสอบสามชั่วโคตร  แล้วรายงานเสนาบดีฝ่ายใน  คนอื่นตัดสินใจไม่ได้!”


เฉินจี้กล่าว  “งั้นก็ขอเงิน”


แต่แรกเขาก็ไม่ได้คิดจะขอตำแหน่งอยู่แล้ว  แต่เมื่อคนเราต้องการอะไร  ไม่ควรเปิดเผยเจตนาล่วงหน้า  ต้องเรียกราคาสูงไว้ก่อน


หยุนหยางเห็นเฉินจี้ไม่เรียกร้องตำแหน่ง  จึงผ่อนลมหายใจ  “เจ้าต้องการเท่าไร”


“สองพันตำลึง”


“อะไรนะ?!”


เฉินจี้ถาม  “ให้ไม่ได้หรือ”


หยุนหยางเกาหัว  “เจ้ารู้หรือไม่ว่า  ข้ามีเงินเดือนปีละแค่สามสิบหกตำลึง  แล้วเจ้าเปิดปากมาก็ขอสองพันตำลึง?!  เจ้ากล้าเรียกราคาเหลวไหลแบบนี้อีก  พนันกันไหมว่าข้าจะแทงเจ้าหรือไม่!”


“กรมสืบลับใช้ชีวิตด้วยเงินเดือนอย่างเดียวหรือ”  เฉินจี้ไม่เชื่อ


หยุนหยางคิดครู่หนึ่ง  ระงับอารมณ์ที่ถูก  ‘ความดีความชอบ’  โน้มน้าว  กล่าวอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง  “ทุกครั้งที่ช่วยข้าได้ความดีความชอบ  จะแบ่งให้เจ้าห้าสิบตำลึง”


“ท่านหยุนหยางเป็นบุคคลสำคัญขนาดนี้  ให้แค่ห้าสิบตำลึงเองหรือ”


“แค่ห้าสิบตำลึง?  ห้าสิบตำลึงพอให้เจ้าไปซื้อสาวใช้ที่ตลาดตะวันตกได้ยี่สิบคนแล้ว!  วันนี้เวลามีจำกัด  ไม่รู้ว่าเจียวถู่จะถ่วงเวลาได้อีกนานแค่ไหน  หากเจ้ายังมัวอืดอาดต่อไป  ข้าตัดใจเชือดเจ้าทิ้งเสียดีกว่า  ขอถามครั้งสุดท้าย  ห้าสิบตำลึง  เอาหรือไม่เอา”


“เอา!”


หยุนหยางหันหลังเดินจากไป  “ก่อนฟ้าสว่างเหลืออีกสามชั่วยาม  เจ้ามีเวลาแค่สามชั่วยาม”


“ท่านหยุนหยางจะไปหาหลักฐานที่ไหนตอนนี้”


“พาเจ้าไปร้านกระดาษสา  บางทีเจ้าอาจหาอะไรเจอที่นั่น!”


เฉินจี้ส่ายหน้าปฏิเสธ  “ไม่ไปร้านกระดาษสา  เราไปจวนโจวเฉิงอี้กัน”


หยุนหยางขมวดคิ้ว  “ไม่ใช่ว่าคราวก่อนเจ้าหาสารส้มเจอแล้วหรือ  ยังจะมีอะไรอีก”


เฉินจี้นิ่งเงียบไม่พูด


หยุนหยางรู้ตัวทันที  “เดี๋ยวนะ  เจ้าต้องพบเบาะแสอื่นในจวนโจวเฉิงอี้คราวก่อนแน่นอน  แต่ปิดบังไม่บอกข้ากับเจียวถู่!”


“ข้าก็แค่เก็บไพ่ตายไว้เพื่อป้องกันตัวบ้าง  ขอท่านหยุนหยางได้โปรดอภัย”  เฉินจี้ไม่เคยเป็นคนยอมจำนนง่ายๆ ยามฆ่าคน  แม้เอวจะมีมีดเสียบอยู่  ก็ต้องกัดเนื้อจากคอศัตรูให้ได้หนึ่งคำ


“เฮ้อ!”  หยุนหยางสูดลมหายใจเย็น  “ข้ายิ่งรู้สึกว่าเจ้าเหมือนสายลับราชวงศ์จิ่งเข้าไปทุกที  ทำยังไงดีล่ะ?”


“สายลับราชวงศ์จิ่งจะช่วยท่านจับสายลับหรือ”


หยุนหยางเอาสองนิ้วกดลิ้น  ผิวปากดังแหลมสว่าง  ม้าพยศวิ่งออกมาจากหัวมุมถนนอันซี


เขากระโดดขึ้นหลังม้า  ดึงเฉินจี้ขึ้นนั่งด้านหลัง  “นั่งให้ดี!”


กีบม้าที่พันผ้าใบส่งเสียงทุ้มบนถนนหินเขียว  พุ่งทะยานเข้าสู่หมอกบางในยามรุ่งสาง


ไม่มีใครสังเกตเห็น  บนชายคาหลังคาติดถนน  แมวดำตัวเล็กซ่อนตัวอยู่ในเงามืดมาตลอด


เมื่อพวกเขาจากไป  แมวกระโดดด้วยฝีก้าวแผ่วเบาไปบนกระเบื้องหลังคาสีเทา  ตามติดไปข้างหลัง


(จบตอน)  


______________
ปัจจุบันแปลถึงตอน: -
ติดตามผู้แปล : www.facebook.com/bjknovel/
#พระเอกเทพ #นิยายแฟนตาซี #qingshan

Previous Next

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตอนที่ 0001 กลับสู่ศูนย์

ตอนที่ 0007 บุพการี

ตอนที่ 0010 ตำหนักหวั่นซิง