ตอนที่ 0015 ผู้ใดขโมยเมล็ดกระบี่ข้า
เสียงแมวร้องหรือ?
เฉินจี้ตกอยู่ในห้วงความคิด กลับกลายเป็นว่า คำพูดของอูหยุนคนอื่นฟังไม่ได้ยิน
ไม่ใช่อูหยุนพูดภาษามนุษย์ได้ แต่เขาฟังภาษาแมวรู้เรื่องต่างหาก!
เขาเปลี่ยนเรื่องทันที “พี่หลิวดึกดื่นเช่นนี้ยังไม่นอนหรือ?”
หลิวฉวีซิงมองตำราการแพทย์ที่กางอยู่บนเคาน์เตอร์ พูดอย่างอ่อนแรง “เจ้าขยันทบทวนวิชาขนาดนี้ ข้านอนได้ยังไงกัน......”
เฉินจี้ปิดตำราการแพทย์เงียบงัน “......”
เขาทบทวนวิชาไม่ใช่เพื่อเป็นหมอหลวง แต่เพื่อปกปิดตัวตน ทว่าหลิวฉวีซิงคงไม่คิดเช่นนั้น
ขณะเดียวกัน หลิวฉวีซิงเข้ามาใกล้แล้วกดเสียงต่ำ “วันนี้คนในตระกูลหลิวของข้ามาขอให้อาจารย์ตรวจรักษา ถามไปด้วยว่าตอนนี้อาจารย์มีศิษย์สายตรงหรือยัง”
“อาจารย์ว่าอย่างไร?”
“อาจารย์บอกว่า อีกไม่นานจะตัดสินใจแล้ว ว่าใครจะเป็นศิษย์สายตรง” หลิวฉวีซิงกล่าว
เฉินจี้หยิบไม้ไผ่เขี่ยไส้ตะเกียง เร่งให้แสงสว่างขึ้น “พี่หลิวพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?”
หลิวฉวีซิงรวบเสื้อคลุมบนไหล่ตน ชั่งใจเลือกคำพูดอยู่ครู่ “เฉินจี้ หมอหลวงแม้จะสบาย แต่ก็อยู่ในราชสำนัก จะอยู่รอดในราชสำนักไม่ใช่เรื่องง่าย พลาดนิดเดียวอาจถูกประหารชั่วโคตรก็เป็นได้”
เฉินจี้ขมวดคิ้วงุนงง “พี่หลิวต้องการจะพูดอะไรกันแน่?”
หลิวฉวีซิงแสดงความจริงใจอันหาได้ยาก “อันที่จริง เจ้ากับเซ่อเติงเค่อไม่เหมาะอยู่ในราชสำนัก ความรู้ของพวกเจ้า การรู้จักคบหาสมาคม เส้นสายของพวกเจ้าล้วนบ่งชี้ว่า ต่อให้เข้าราชสำนักก็คงไม่มีอนาคต ประจวบเหมาะกับบ้านเจ้าก็ไม่ยอมจ่ายค่าเล่าเรียนให้อีกแล้ว ข้าจะออกเงินก้อนหนึ่ง เจ้าออกจากโรงยาไปทำการค้าเล็กๆ จะได้ไม่ต้องพึ่งพาครอบครัวอีก เป็นอย่างไร?”
เฉินจี้ไม่แสดงท่าทีใดๆ
หลิวฉวีซิงกล่าวทิ้งท้าย “เฉินจี้ ตั้งแต่เจ้ามาโรงยา เรียนอักษรก็ช้ากว่าเซ่อเติงเค่อ จับชีพจรก็ไม่แม่นยำ เจ้าไม่มีพรสวรรค์รับช่วงวิชาจากอาจารย์ เลิกล้มเถอะ”
เฉินจี้ยิ้มตอบว่า “พี่หลิวคิดให้ข้าอย่างรอบคอบ แต่ขอให้ข้าคิดดูก่อนได้ไหม?”
“ได้” หลิวฉวีซิงพยักหน้า “งั้นเจ้าคิดให้ดีๆ”
พูดจบ เขาหันกลับเข้าลานหลัง
เฉินจี้พลันเห็นเงาดำใต้เคาน์เตอร์ไล่ตามหลังหลิวฉวีซิง พุ่งออกไปเสียงหวือ
โชคดียังดี เขาว่องไวพอ จับคออูหยุนดึงกลับมา “เจ้าจะทำอะไร?”
อูหยุนโกรธจัด แยกเขี้ยวเล็บกลางอากาศ “เขาดูถูกท่านนะ!”
เฉินจี้หัวเราะร่ำไห้ “เจ้าก็ไม่ให้เกียรติข้าเหมือนกันนี่”
อูหยุน “นั่นไม่เหมือนกัน!”
“พอเถิด ข้าเข้าใจเขา” เฉินจี้ถอนหายใจ “ในยุคนี้ ทุกคนต้องดิ้นรนหาทางรอด ไม่มีอะไรได้มาง่าย พบโอกาสเมื่อใดต้องคว้าไว้......”
คำพูดยังไม่ทันจบ สีหน้าเฉินจี้เปลี่ยนทันที เริ่มวันใหม่ได้หนึ่งเค่อ กระแสน้ำแข็งมาตามนัด เสมือนในกระแสเลือดมีผลึกน้ำแข็งไหลเวียน
คราวนี้กระแสน้ำแข็งรุนแรงกว่าครั้งใด มันกับกระแสหลอมเหลวละลายดูเหมือนมีความแค้นกันมานับหมื่นปี เข้ากันไม่ได้แต่ชาติปางก่อน
กระแสน้ำแข็งซึมซาบเข้าร่างกายทีละน้อย ราวกับในกายเขางอกต้นไม้น้ำแข็ง แตกกิ่งก้านใบไม่หยุดหย่อน แม้แต่ลมหายใจที่เฉินจี้พ่นออกมา ก็เป็นไอขาวน้ำค้างแข็ง
เพียงชั่วลมหายใจเดียว กระแสน้ำแข็งไม่เปิดโอกาสให้เขาแม้แต่จะตั้งท่ายืนหลักแบกหิน เนื้อตัวเริ่มแข็งทื่อราวกับรูปปั้น
จะทำยังไงดี?
เฉินจี้ในสภาพแข็งทื่อ ค่อยๆ หันหน้าไปมองตู้ยา เขาอยากดิ้นรนไปหยิบโสม แต่กลับพบว่าขาทั้งสองไม่รู้เมื่อไรหมดความรู้สึก ถูกแช่แข็งอยู่กับที่!
อูหยุนมองไอน้ำค้างที่เฉินจี้พ่นออกมา ได้แต่ตกตะลึงอยู่กับที่ “ท่าน......เป็นอะไร?”
เฉินจี้อยากอ้าปากให้อูหยุนช่วยหาโสมให้ แต่กลับพบว่าริมฝีปากตนติดกันแล้ว ทำได้เพียงมองตัวเองเริ่มสูญเสียชีวิตชีวาไปทีละนิด......
ไม่สิ ยังมีโอกาส!
ขณะนั้น อูหยุนเห็นสภาพอันน่าสังเวชของเฉินจี้ ร้อนรนจนเสียขวัญ วิ่งวนรอบตัวเขา
มันอยากช่วยเฉินจี้ แต่ไม่รู้เลยว่าจะช่วยเฉินจี้ได้อย่างไร “ท่านพูดสักคำสิ ข้าควรทำอย่างไร?”
ชั่วอึดใจต่อมา อูหยุนสังเกตเห็นเฉินจี้จ้องแน่วแน่ไปทางหนึ่ง......มันมองตามสายตาเฉินจี้ไป กลับเป็นตู้ยาของโรงยา
อูหยุนกระโดดไปทางตู้ยา ใช้กรงเล็บดึงลิ้นชักออกมาทีละใบ มันไม่รู้ว่าในลิ้นชักมีอะไร แต่เฉินจี้จ้องมาตรงนี้แน่วแน่ ย่อมต้องมีเหตุผลเบื้องหลัง!
ตู้ยาเรียงรายอัดแน่น มันไม่รู้ว่าควรคาบตัวไหน จึงรีบดึงลิ้นชักทุกอันออกมา คาบสมุนไพรข้างในไปทดลองทีละตัว!
ตังกุย ไม่ใช่
เฉินผี (เปลือกส้มตากแห้ง) ไม่ใช่
โหรวชงหรง ก็ไม่ใช่
อูหยุนล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า ร้อนรนจนแทบคลั่ง
พอหันกลับไปมองอีกครั้ง มันพบว่าดวงตาเฉินจี้สูญเสียประกายแล้ว
......
......
เฉินจี้รู้สึกเหมือนกลับไปสู่ค่ำคืนอันยาวนานนั่นอีกครั้ง
เสียงลม เสียงฝน และเสียงพายเรือกรีดน้ำ ใครบางคนใช้เรือเล็กลำหนึ่ง บรรทุกเขาข้ามทะเลเมฆดำ
ในราตรีมืดนี้ เขาได้ยินเสียง เป็นเสียงโห่ร้องฆ่าฟัน ซึ่งเขามักได้ยินในความฝันวัยเยาว์!
เสียงดังกึกก้องราวกับในสนามรบโบราณ ทะเลกลับหัว ภูเขาพังทลาย แม้แต่ฟ้าก็ปริแตกเป็นรอยร้าวนับสิบสาย
ในความว่างเปล่าไร้ขอบเขต มีเสียงยิ่งใหญ่ดังกังวานราวกับระฆัง ซักถามว่า
“ผู้ใดขโมยวิถีเทพของข้า?”
“ผู้ใดขโมยเมล็ดกระบี่ของข้า?”
“ผู้ใดขโมยขุนเขาขจีของข้า!”
เฉินจี้ไม่ได้ตอบ ไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร
อีกฝ่ายคือใคร? วิถีเทพ เมล็ดกระบี่ ขุนเขาขจี หมายถึงอะไร? เขาไม่รู้เลยสักอย่าง
หลังเงียบนาน เสียงยิ่งใหญ่นั้นก็เอ่ยขึ้นอีกครั้ง “ช่างเถิด พอดีเลย ได้ใช้ร่างเจ้ากลับมาสู่โลกอีกครั้ง!”
เฉินจี้มีลางสังหรณ์ เมื่อตนถูกแช่แข็งสมบูรณ์ นั่นคือเวลาที่อีกฝ่ายจะยืมร่างตนฟื้นคืนชีพ!
เป็นไปได้หรือไม่ว่า หลี่ชิงเหนี่ยวส่งตนมายังโลกนี้ ก็เพื่อช่วยให้สิ่งมีชีวิตนิรนามนี้ตื่นขึ้น?
จะตายแล้วหรือ? ทั้งที่เพิ่งจะได้แมวมาตัวหนึ่ง
เฉินจี้คิดฟุ้งซ่านไปต่างๆ นานา ชีวิตก็ใกล้จะดับสูญ
แต่ในขณะนั้นเอง อูหยุนคาบโสมรากขาดกลับวิ่งมา เอาโสมเข้าใกล้ปากเฉินจี้!
เมื่อโสมเก่าแตะต้องเฉินจี้ เพียงพริบตาก็ดูดกลืนกระแสน้ำแข็งไปมากกว่าครึ่งราวกับวาฬ กลายเป็นลูกแก้วใสส่องแสงหกเม็ดตกลงบนเคาน์เตอร์ กลิ้งไปยังขอบเคาน์เตอร์
รอดแล้ว!
ย้อนกลับไปก่อนที่เขาจะถูกน้ำแข็งผนึกโดยสมบูรณ์ เฉินจี้ฝืนเค้นแรงเฮือกสุดท้ายกลอกลูกตา หวังให้อูหยุนเข้าใจความหมายของตน
ซึ่งอูหยุนก็คว้าโอกาสรอดเพียงเส้นเดียวนี้ให้เขาได้สำเร็จ ท่ามกลางความสิ้นหวัง
อึดใจต่อมา อูหยุนไล่ตามลูกแก้วที่กลิ้งอยู่บนเคาน์เตอร์ทีละเม็ด กลืนเข้าปากไปทีละเม็ด
กระแสหลอมเหลวปริมาณมหาศาลส่งกลับมาจากตัวอูหยุน แทรกซึมเข้าหว่างคิ้วเฉินจี้ บีบอัดกระแสน้ำแข็งที่เหลือกลับเข้าไปในตันเถียน ชะล้างร่างกายเขา และดึงเฉินจี้ออกจากขุมนรกอันมืดมิด!
หลังฟื้นคืนสติ ฟื้นคืนสมรรถภาพร่างกาย เขาหลับตาแน่นทันที ย่อเข่าลงต่ำ ใช้วิชายืนหลักแบกหินต้านกระแสน้ำแข็ง
เมื่อเขาทำท่ายืนหลักแบกหิน กระแสหลอมเหลวพลันปั่นป่วนขึ้นมาทันใด พลุ่งพล่านคึกคัก!
ราวกับกองทัพที่เคยไร้ผู้บัญชาการ บัดนี้มีแม่ทัพ แม่ทัพขี่ม้าศึกหุ้มเกราะ ถือธงประจำกอง!
เฉินจี้สงสัยในใจ เหตุใดวิชายืนหลักแบกหินที่หมอเฒ่าเหยาสอนแบบไม่เจาะจง จึงเหมาะสมกับตนยิ่งนัก
เดี๋ยวก่อน!
หลังกระแสหลอมเหลวกดดันกระแสน้ำแข็งกลับเข้าตันเถียน ก็ถูกจุดเทียนชู ซึ่งอยู่ฝั่งซ้ายของตันเถียน ดูดดึงเข้าหาราวกับน้ำวน กลืนกระแสหลอมเหลวเกือบทั้งหมดลงไป!
เพียงพริบตา ภายในจุดเทียนชู เสมือนไฟเตาลุกโชนขึ้น กระแสน้ำแข็งในตันเถียนหดตัวเข้าไปในส่วนลึกอีกครั้ง ราวกับหวาดเกรงไฟเตานี้
“มีไฟเตาที่จุดเทียนชูคุ้มกันแล้ว ก็สามารถปราบกระแสน้ำแข็งได้สนิท? ไม่ใช่ จุดเดียวยังไม่พอ”
ในสิบสองเส้นลมปราณหลัก ‘ประตูตันเถียน’ มีทั้งหมดสี่จุด ได้แก่ จุดเทียนชูซ้ายขวา จุดต้าจวี่ซ้ายขวา จุดไฟแค่จุดเทียนชูเดียว ยังผนึกกระแสน้ำแข็งไม่อยู่แน่
น่าเสียดาย หลังจากกระแสหลอมเหลวจุดไฟจุดเทียนชูฝั่งซ้ายแล้ว ก็หลงเหลืออยู่ไม่มากนัก......
ขณะกำลังครุ่นคิด อูหยุนยกอุ้งเท้าขึ้นแผ่วเบา ใช้อุ้งเท้าขนปุยแตะปลายนิ้วชี้เฉินจี้
บึ้ม!
กระแสหลอมเหลวในตัวอูหยุนไหลรวมเข้าสู่ร่างเฉินจี้จนหมดสิ้น พุ่งตรงไปยังจุดเทียนชูด้านขวา จุดไฟเตาที่สองขึ้น!
ไฟเตาสองดวงหล่อเลี้ยงร่างเฉินจี้ไม่หยุด ในร่างกายเขามีพลังอันเปี่ยมล้นไหลเวียน ความอ่อนล้าหายวับ กำลังวังชาก็เพิ่มขึ้นไม่เบา!
เขานึกถึงคำหมอเฒ่าเหยาขึ้นมาทันใด ฟ้ามีสามสิ่งล้ำค่า คือดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว มนุษย์มีสามสิ่งล้ำค่า คือจิง! ชี่! เสิน!
จิงเต็มไม่คิดกาม ชี่เต็มไม่คิดอาหาร เสินเต็มไม่คิดนอน นี่เองคือความรู้สึกของ ‘ชี่สมบูรณ์เสินเพียบพร้อม’ !
เฉินจี้ลืมตาโพลง ดวงตาเปล่งประกายแจ่มใส ก้นตาราวกับมีเปลวไฟลุกโชน
นี่เองคือการฝึกตน!
เขายิ้มมองอูหยุน ยื่นมือลูบหัวมันแผ่วเบา กล่าวเสียงอ่อนโยน “ขอบใจนะ”
“ไม่ได้มากมายอะไรเลย” อูหยุนเชิดหน้าพูด ราวกับเพิ่งทำเรื่องไม่สลักสำคัญ
“อา ยังไงข้าก็ต้องขอบใจ ถ้าไม่มีเจ้า ข้าคงตายไปแล้ว......อูหยุน เจ้าคือแมวที่เก่งที่สุดบนโลกนี้!”
“แค่นี้ไม่เท่าไรหรอกน่า!” อูหยุนเชิดหน้าสูงขึ้นอีกหน่อย
ตะเกียงน้ำมันหมูบนเคาน์เตอร์ลุกไหม้มานานแล้ว แสงไฟเริ่มหรี่ลง เฉินจี้ยืนอยู่กลางห้องโถง สายตาดุจเปลวไฟมองสำรวจโลกใหม่ตรงหน้า
แต่ไฟนี้ก็ถูกน้ำเย็นสาดดับลงอย่างรวดเร็ว โสมหายไปแล้ว!
เฉินจี้ “จบสิ้นแล้ว!”
อูหยุนงงงวย “อะไรจบ?”
“ข้าจบแล้ว”
เฉินจี้พลิกตัวลุกขึ้น หยิบบัญชีโรงยามาค้นหา “ขอดูหน่อยว่าโสมต้นนั้นราคาเท่าไร......อะไรนะ สามสิบตำลึง?!”
“ซาลาเปาลูกหนึ่งสองเหรียญเงิน หาบน้ำหนึ่งถังสองเหรียญเงิน ค่าเงินทุกวันนี้ ประมาณเก้าร้อยเหรียญเงินแลกได้หนึ่งตำลึง แล้วโสมห้าสิบปีต้นนี้ตั้งสามสิบตำลึง มันทำจากทองคำหรือไง?!”
ขายเฉินจี้ทั้งตัวก็ยังไม่พอ!
ปัจจุบัน เขาแบกหนี้ค่าเล่าเรียนสองร้อยสี่สิบเหรียญเงิน ค่ายาจวนโจวสามร้อยยี่สิบเหรียญ บัดนี้เพิ่มอีกสามสิบตำลึงเงินขาว ทำให้ครอบครัวที่ไม่ร่ำรวยอยู่แล้วยิ่งแย่หนักขึ้นไปอีก!
“จนจังเลย ทำไมข้าถึงจนขนาดนี้……โสมรากนี้ถ้าชดใช้ไม่ได้ หมอเฒ่าเหยาจะฆ่าข้าไหม?”
อูหยุนฟังเฉินจี้บ่นพึมพำอยู่ครู่หนึ่ง เงียบไปชั่วขณะ
สุดท้าย มันดิ้นรนอยู่นาน แล้วเหมือนตัดสินใจอย่างเจ็บปวด “เอาแบบนี้ไหม เจ้าพาข้าไปแสดงที่ถนนเทียนสิ ข้าตีลังกาหลังได้!”
เฉินจี้นับถือใจจากก้นบึ้ง “......ช่างเป็นการเสียสละที่ยิ่งใหญ่จริงๆ”
ขณะกำลังพูดอยู่นั้น ด้านนอกโรงยาก็มีเสียงเคาะประตูดัง
ตุก ตุก ตุก
ตุก ตุก ตุก
ผู้มาเยือนเคาะติดต่อกันสองรอบ ไม่ช้าไม่เร็ว เสียงทุ้มหนักในยามเที่ยงคืนฟังดูแปลกประหลาดยิ่ง ราวกับเคาะลงบนหัวใจโดยตรง
เฉินจี้ใช้สายตาส่งสัญญาณให้อูหยุนปีนกลับจวนจิ้งอ๋องทางสวนหลัง ส่วนตนบรรจงเข้าไปใกล้อย่างระมัดระวัง แล้วเอ่ยถาม “ใครน่ะ?”
ผู้มาเยือนหัวเราะในลำคอแล้วตอบ “หยุนหยาง”
คราวนี้ ข้างกายเฉินจี้ไม่มีอาจารย์แล้ว
(จบตอน)
______________
ปัจจุบันแปลถึงตอน: -
ติดตามผู้แปล : www.facebook.com/bjknovel/
#พระเอกเทพ #นิยายแฟนตาซี #qingshan
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น