ตอนที่ 0001 กลับสู่ศูนย์
เมืองหลัว ฤดูใบไม้ร่วง
ภายในห้องทำงานอันว่างเปล่า ใต้แสงหลอดไฟสีขาวจืดจาง หมอวัยกลางคนเลื่อนแว่นตาบนสันจมูก
“เฉินจี้ สวัสดี ฉันจะถามเธอสักสองสามข้อ หลังจากเธอตอบ ทางนี้จะประเมินตามดุลยพินิจ แบ่งเป็นห้าระดับ คือ ‘ไม่มี’ ‘เล็กน้อย’ ‘ปานกลาง’ ‘รุนแรง’ ‘รุนแรงมาก’ คุณพร้อมหรือไม่”
“พร้อม”
“เธอต้องการจบชีวิตหรือไม่”
“......จบชีวิตใคร?”
“ของตัวเอง”
“ไม่ครับ”
หมอวัยกลางคนลังเลครู่หนึ่ง “เธอผูกพยาบาทหรือไม่ ยากที่จะให้อภัยผู้ที่เคยทำร้ายเธอหรือไม่”
“ผมไม่ผูกพยาบาท”
“เธอหลงลืมง่ายหรือไม่ ยังจำอะไรเกี่ยวกับตอนอายุสิบสองได้บ้าง?”
ฝั่งตรงข้ามหมอ เฉินจี้วัยสิบแปดปี เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างสู่ราตรีมืดมิด “อายุสิบสอง? ฤดูร้อนปีนั้น หม่าข่ายเพื่อนข้างโต๊ะแอบเอายางลบผมไปก้อนหนึ่ง นั่นยางลบก้อนโปรดเลย เพราะมีรูปอุจิฮะอิทาจิอยู่ด้วย”
หมอหันกลับไปดูคำถามผูกพยาบาทข้อก่อนหน้า ขีดฆ่า ‘1 คะแนน, ไม่มี’ แล้วเขียนใหม่ ‘5 คะแนน, รุนแรงมาก’
เขาพินิจดูเด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างจริงจัง เฉินจี้วัยสิบแปดปีหน้าตาค่อนข้างหล่อเหลา ดูเหมือนเพราะไม่ค่อยออกจากบ้านเป็นเวลานาน ผิวพรรณจึงสะอาด แววตาใสกระจ่างและจริงใจ
“คำถามต่อไป เธอทนความโดดเดี่ยวได้หรือไม่”
ครั้งนี้ เฉินจี้หยุดคิดปัญหาอย่างจริงจัง นานแล้วจึงตอบ “ได้ครับ”
……
……
การซักถามดำเนินไปครึ่งชั่วโมง เมื่อเข็มนาฬิกาควอตซ์บนฝาชี้ไปยังสี่ทุ่มตรง หมอก็เอ่ยถาม “คำถามสุดท้าย เธอรู้สึกว่ามีคนคิดทำร้ายเธอหรือไม่”
เฉินจี้ “ไม่มีครับ ครอบครัวดูแลผมดีมาก”
เปลือกตาหมอกระตุกเล็กน้อย เขาบันทึกลงสมุดอย่างรวดเร็ว อาการเชิงบวก 168 คะแนน รายการเชิงบวก 67 รายการ คะแนนปัจจัย 3.8 ผู้ป่วยหลังพ่อแม่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถชน เป็นโรค ‘ความผิดปกติจากความเครียดหลังเหตุการณ์สะเทือนขวัญ’ ขั้นรุนแรง มีแนวโน้มใช้ความรุนแรง
“เฉินจี้ ผลวินิจฉัยบ่งชี้ว่า เธอเป็นโรคความผิดปกติจากความเครียดหลังเหตุการณ์สะเทือนขวัญขั้นรุนแรง ต้องเข้ารับการสังเกตอาการในโรงพยาบาล พยาบาลจะพาเธอไปห้องพักชั้น 6 และต้องส่งมือถือให้ฉันด้วย ข้อมูลจากภายนอกจะรบกวนเธอ ส่งผลต่อการรักษา”
“อ้อ” เฉินจี้ดูไม่แปลกใจ
“เธอนั่งรอที่นี่สักพัก ฉันต้องแจ้งผลให้ครอบครัวเธอทราบด้วย” หมอถือใบวินิจฉัยลุกขึ้น
“เดี๋ยวครับ!” เฉินจี้เรียกเขาไว้
“มีอะไร?” หมอหันกลับมาถาม
“ผมยังไม่ได้ให้มือถือคุณเลย” เฉินจี้หยิบมือถือจากกระเป๋าส่งให้หมอ
“มือถือนี้ ฉันแค่จะเก็บไว้ให้ชั่วคราว” หมอใส่มือถือลงกระเป๋าตัวเอง หันตัวออกประตู ก่อนออกยังปิดประตูให้แน่นหนา
ด้านนอกประตู ในโถงทางเดินว่างเปล่ามืดมิด มีเพียงสามีภรรยาวัยกลางคนคู่หนึ่ง ทั้งสองสีหน้ากระวนกระวาย
ชายผู้นั้นเดินเข้าไปหา “เหล่าหลิว ราบรื่นหรือไม่ เขา...ระแคะระคายบ้างไหม?”
“ไม่ เขายังคิดว่าพวกคุณดีต่อเขาเสียอีก” หมอหลิวพยักหน้า “นี่คือใบวินิจฉัย พวกคุณไปยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อประกาศให้เขาเป็น ‘บุคคลไร้ความสามารถ’ ได้แล้ว”
หญิงวัยกลางคนยิ้มอย่างเก้อเขิน “ขอบคุณนะเหล่าหลิว วันหลังจะเลี้ยงข้าวคุณ”
หมอหลิวยิ้มเยาะ “กินข้าวไม่ต้องหรอก ฉันไม่รู้ว่าพวกคุณอยากให้เขาเป็นคนวิกลจริตไปทำไม และไม่อยากถาม แต่เมื่อศาลมาตรวจสอบ ฉันก็พร้อมพลิกคำวินิจฉัย”
เฉินซั่ว ลุงรองของเฉินจี้ รีบหยิบซองเอกสารตุงออกจากกระเป๋าหนังดำ “คุณนับดู”
หมอหลิวเปิดซองเอกสารชำเลืองดู “ได้ พวกคุณกลับไปเถอะ ทางนี้จะส่งเขาเข้าพักรักษาตัว จากเท่าที่ดู เขาไม่มีท่าทีขัดขืน แต่เพื่อความปลอดภัย ฉันจะเรียกพยาบาลชายสองคนมา”
“ได้ งั้นพวกเราขอตัว” เฉินซั่วพาภรรยา หวังฮุ่ยหลิง เดินไปทางลิฟต์
ในโถงทางเดินมืดสลัว หวังฮุ่ยหลิงเดินไปพลางกดเสียงถามสามี “คุณยัดเงินให้เขาเท่าไร”
“ห้าหมื่น”
“ให้มากขนาดนั้น เขาแค่นั่งถามคำไม่กี่คำเองนะ?” หวังฮุ่ยหลิงร่วงท้วมเบิกตาโตราวตาวัว
เฉินซั่วหงุดหงิด “เธอคิดจริงๆ หรือว่า เลี้ยงข้าวเขามื้อหนึ่งก็จบ? ห้าหมื่นนี่ถูกมากแล้ว แค่เศษขี้ผงของบ้านหลังนั้นของเฉินจี้ พรุ่งนี้รีบไปยื่นคำร้องต่อศาล รอให้เขากลายเป็นบุคคลไร้ความสามารถ โอนบ้านมาเป็นชื่อเราสองคนก่อน เกรงว่าคืนยาวฝันมาก”
หวังฮุ่ยหลิงเอ่ยเสียงแผ่ว “เหล่าหลิวเชื่อถือได้ไหม? อย่าให้เฉินจี้หนีออกจากโรงพยาบาลได้เชียว”
“วางใจเถอะ ฉันได้ยินว่าชั้น 6 โรงพยาบาลชิงซานเหมือนคุก หนีไม่ออกหรอก อย่าเสียเวลาคุยในสถานที่ผีสิงนี่เลย อึมครึมน่ากลัวจะตาย”
ตอนเดินออกจากโรงพยาบาลจิตเวชชิงซาน เฉินซั่วหันกลับมองดั่งมีอำนาจลึกลับบันดาล
ในความมืดยามราตรี ไม้เลื้อยบิดเบี้ยวหนาทึบเลื้อยคลุมตัวตึก แทบบดบังหน้าต่าง เมื่อสายตากวาดผ่าน ในช่องว่างของไม้เลื้อยมีเงาพรายพร่าเคลื่อนไหว ราวกับมี ‘คน’ มากมายอยู่ตรงนั้นคอยจ้องมองเขา
……
……
เฉินจี้ถูกพยาบาลชายสองคนประคองซ้ายขวา เดินอยู่ในโถงทางเดินมืดมิดชั้น 6 มีเพียงป้ายทางหนีไฟริมฝาผนังให้แสงสลัวๆ
ชั้นนี้ไม่มีเคาน์เตอร์พยาบาล สุดทางเดินมีเพียงประตูเหล็กบานหนึ่ง ซึ่งต้องใส่รหัสจึงเปิดได้ พยาบาลชายคนหนึ่งปิดตาเฉินจี้ อีกคนใส่รหัส
ครืน! ประตูเปิดออก
ภายในประตูเป็นห้องโถงกว้างโล่ง ทุกๆ หนึ่งเมตรครึ่งมีเตียงเดี่ยววางอยู่ ในความมืดสลัว เตียงเดี่ยวแต่ละเตียงดูราวกับโลงศพ มีอยู่เป็นร้อยเตียง
อึดใจต่อมา ร่างดำลุกขึ้นนั่งบนแต่ละเตียง หันศีรษะมา จ้องเฉินจี้อย่างเงียบงัน
พยาบาลชายกระซิบ “อย่าสนใจพวกเขา รีบทำงานให้เสร็จแล้วออกไป”
ทั้งสองกดเฉินจี้ให้นอนราบบนเตียง ใช้สายรัดตรึงมือเท้าเขาไว้
“เดี๋ยวครับ!” เฉินจี้เอ่ย
“มีอะไร?” พยาบาลชายถามอย่างหงุดหงิด
เฉินจี้ “ไม่ต้องเปลี่ยนชุดคนไข้หรือ?”
“...จะบ้าหรือไง” พยาบาลชายด่าเบาๆ พลางหันไปบอกเพื่อนร่วมงาน “รีบไป”
ปึง! ประตูเหล็กปิดสนิท ภายในห้องกลับสู่ความเงียบ
เฉินจี้บิดศีรษะมองรอบๆ หน้าต่างห้องพักผู้ป่วย ซึ่งเชื่อมติดด้วยลูกกรงสเตนเลส
ซาๆๆ
ในห้องพัก เสียงเสื้อผ้าดังเสียดสีกับเครื่องนอน ตามมาด้วยเสียงฝีเท้าละเอียดอ่อน
เฉินจี้ได้ยินเสียงเหล่านั้นเข้ามาใกล้ เสียงมากขึ้นทุกที และใกล้ขึ้นทุกที
“เดี๋ยวนะ...” เฉินจี้ลืมตาจ้องเพดานอย่างจนปัญญา “มัดแค่เราคนเดียว? ลำเอียงจังเลยนะ”
อาศัยแสงจันทร์จางๆ นอกหน้าต่าง เขาเห็นศีรษะห้าหกหัวยื่นออกมาดุจเต่า แย่งพื้นที่เพดานในสายตาเขา บนใบหน้าดำๆ แต่ละหน้า ยังมีรอยยิ้มประหลาด
เฉินจี้ “น่ากลัวฉิบหาย อาการทางจิตแทบจะหายสนิทเลย...”
มีคนถามเสียงแผ่ว “พวกคุณว่า ปกติแล้วเขาถ่ายอุจจาระก่อนกินข้าว หรือหลังกินข้าว?”
“รอฉันโทรถามสหประชาชาติก่อน” พูดไปพลาง ชายวัยกลางคนรายหนึ่ง หยิบเครื่องคิดเลขออกมา กดตัวเลขรวดเร็ว เสียงหญิงอ่านตัวเลขใสกังวานดังผิดปกติในห้องพัก
ยังไม่ทันกดเสร็จ ชายชราคนหนึ่งชิงกดเครื่องคิดเลขก่อน
“กลับสู่ศูนย์”
เสียงทั้งหมดพลันหายวับ คนไข้แยกทางให้ชายชราทันที
ชายชรามายืนข้างเตียง โน้มตัวมองเฉินจี้ “คุณมาจริงๆ”
เฉินจี้ “หมายความว่าอะไร?”
ชายชราหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมา “มีคนเคยทำนายไว้ว่า วันนี้คุณจะมาที่นี่”
บนกระดาษแผ่นดังกล่าว วาดรูปใบหน้าเขาด้วยดินสออย่างเหมือนจริง
เฉินจี้นับถืออย่างจริงจัง “สมเหตุสมผล”
……
……
คนที่เข้าโรงพยาบาลจิตเวชได้ ไม่โง่เกินไปก็ฉลาดเกินไป
พวกเขาเพียงวนเวียนกับตัวเองในโลกแห่งความหมกมุ่น ไม่สิ้นสุด ไม่อาจหลุดพ้น
เฉินจี้มีความเคารพต่อโรงพยาบาลจิตเวชอยู่บ้าง
ดังนั้น เมื่อเขาเห็นภาพสเก็ตช์ดังกล่าว โลกก็เริ่มลึกลับขึ้นมา “คันหัวจัง เหมือนสมองจะงอกออกมาแล้ว! ท่านผู้เฒ่า นี่คุณวาดหรือ?”
“ไม่ใช่ฉันวาด แต่พาคุณไปพบคนวาดได้” ชายชราแก้สายรัดให้เฉินจี้ คนไข้ที่เหลือเริ่มแยกทางให้พวกเขา
สุดทางเดิน ชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งข้างเตียงด้วยท่าทางโง่บื้อ เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง
“เขาเป็นโรคอะไร” เฉินจี้ถาม
“โรคหลงผิดขั้นรุนแรง เขามักพูดว่าตัวเองอยู่ในโลกอื่น โลกนี้เป็นความฝันของเขา ภายหลังเกิดอาการแยกตัว ปัญญาอ่อนโดยสิ้นเชิง” ชายชราตอบ
“เขาเข้ามาเมื่อไร?”
“เข้ามาได้หนึ่งปีแล้ว เขาบอกว่าคุณจะปรากฏวันนี้ พิสูจน์ว่าเขาไม่ได้โกหก”
เฉินจี้มองชายชราอย่างประหลาดใจ “แล้วคุณเป็นโรคอะไร ความคิดกระจ่างแจ้งจังเลย”
“ฉันไม่ได้ป่วย” ชายชราเอ่ย
“มีลักษณะคนวิกลจริตอยู่บ้างแล้ว...”
ชายชราตอบอย่างขุ่นเคือง “ฉันไม่ได้ป่วยจริงๆ แค่ทำผิดเล็กน้อยแล้วหนีเข้ามาซ่อน ไม่เชื่อคุณเอาแบบวัดความคิดหมกมุ่นมาถามได้เลย”
เฉินจี้ “ชอบพ่อหรือชอบแม่”
ชายชรา “ชอบแม่”
เฉินจี้ “......”
เขามายืนหน้าชายหนุ่มโรคหลงผิด “สวัสดี”
แต่ชายหนุ่มเพียงจ้องนิ่งออกไปนอกหน้าต่างในความมืด ไม่พูดจาใดๆ
ชายชรา “เขาไม่พูดมาครึ่งปีแล้ว”
“เขาชื่ออะไร”
“หลี่ชิงเหนี่ยว”
เฉินจี้รู้สึกเสียดายอยู่บ้าง เขาพินิจหลี่ชิงเหนี่ยวผู้เหม่อลอยอย่างละเอียด แล้วถามเสียงแผ่ว “ท่านผู้เฒ่า เขาเคยเล่าถึงโลกที่เขาอาศัยอยู่บ้างไหม ว่าเป็นอย่างไร?”
“ไม่เคย” ชายชราส่ายหน้า
เฉินจี้ถามต่อ “ท่านผู้เฒ่า หลังเขาเข้าโรงพยาบาล เคยได้รับการรักษาบ้างหรือไม่ มีวิธีใดบ้างที่จะเรียกสติเขากลับมา?”
“รักษาอะไรกัน พักชั้น 6 ล้วนละทิ้งการรักษาแล้ว มีชีวิตอยู่ก็พอ”
“หา? ไม่ช่วยเหลืออีกหน่อยหรือ เผื่อรักษาหายขึ้นมา”
“ก็มีที่หายอยู่นะ” ชายชราลูบคาง
“หายได้ยังไง?”
“ก่อนหน้านี้มีเด็กสาวซึมเศร้าขั้นรุนแรงคนหนึ่ง เข้ามาเดือนกว่าผอมไปสามสิบกว่าชั่ง หลังจากนั้น พ่อเธอซื้อหวยถูกสองพันกว่าล้าน พาออกจากโรงพยาบาลไป โรคเธอก็หายดี”
หา?
เฉินจี้ค่อยๆ หันไปมองหลี่ชิงเหนี่ยว “ผมจะให้คุณสองพันล้าน”
หลี่ชิงเหนี่ยวที่เงียบมาครึ่งปี พลันเอ่ยออกมา “คุณก็จะไปโลกนั้นแล้ว”
หา?
ชายชราเบิกตากว้าง
เฉินจี้รีบถามต่อ “ไปโลกนั้นได้ยังไง”
หลี่ชิงเหนี่ยวเงียบอีกครั้ง
เฉินจี้ “ผมให้คุณอีกสองพันล้าน!”
หลี่ชิงเหนี่ยว “คนเป่ยจวีลู่โจวจะรับผิดชอบเรื่องลักลอบข้ามแดน”
เฉินจี้ “ให้อีกสองพันล้าน...โลกนั้นเป็นอย่างไร”
หลี่ชิงเหนี่ยวหยุดสองวินาที “ในบัญชีคุณมีแค่สี่พันกว่าล้าน”
เฉินจี้ “???”
พี่ชาย คุณแกล้งป่วยใช่ไหม
เขายื่นมือไปหยิกแก้มหลี่ชิงเหนี่ยว แต่ไม่ว่าเขาจะทำอย่างไร หลี่ชิงเหนี่ยวก็ไม่อ้าปากอีก
ชายชราหลังค่อม ไพล่หลังถาม “หนุ่มน้อย คุณเข้ามาเพราะอะไร?”
เฉินจี้ตอบ “บิดามารดาเสียชีวิต ครึ่งปีนี้ค่อนข้างเก็บตัว ลุงรองกับป้าจึงส่งผมมา”
ชายชราหรี่ตาเล็กน้อย “หนุ่มน้อย บิดามารดาคุณทิ้งมรดกไว้ให้เท่าไร?”
เฉินจี้ “คฤหาสน์หลังหนึ่ง มูลค่าสองพันกว่าล้าน เงินฝากอีกหลายพันล้าน”
ชายชราครุ่นคิด “งั้นคุณต้องระวังลุงรองกับป้าให้ดี หากพวกเขายื่นคำร้องให้ศาลตัดสินว่าคุณเป็น ‘บุคคลไร้ความสามารถ’ ทรัพย์สินคุณจะรักษาไว้ไม่อยู่”
สีหน้าเฉินจี้จมหายในความมืดของห้องพัก “จะเป็นไปได้ยังไง พวกเขาเป็นญาติผมนะ”
นอกหน้าต่างมีลมพัด พัดจนไม้เลื้อยโยกเยก เงาใบไม้ที่แสงจันทร์ส่องผ่านเข้ามา ดุจดังเปลวไฟดำไหวระริก เต้นระบำบนพื้นไม่หยุดพัก
(จบบท)
______________
ปัจจุบันแปลถึงตอน: -
ติดตามผู้แปล : www.facebook.com/bjknovel/
#พระเอกเทพ #นิยายแฟนตาซี #qingshan
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น