ตอนที่ 0029 ขุดศพ
เฒ่าหลิวตายแล้วจริงหรือไม่? ไม่มีใครรู้
ณ ขณะนี้ นอกจากคนตระกูลหลิว ไม่มีใครเห็นศพผู้เฒ่าหลิวเลย
คุกในเงียบสงัดจนอึดอัด หยุนหยางโบกมือ หน่วยสืบลับทั้งหมดในห้องถอยออกไปอย่างเงียบงัน
เขาลุกขึ้นทันที เดินไปมาในห้อง “ผู้เฒ่าหลิวไม่ได้ตายจริง……เมื่อพวกเราตรวจสอบถึงจุดสำคัญ ตระกูลหลิวเริ่มตื่นตระหนก จึงใช้วิธีนี้บีบบังคับให้พวกเราหยุด”
เฉินจี้แสร้งทำเป็นประหลาดใจ “ผู้เฒ่าหลิวไม่ได้ตายจริง? ไม่จริงกระมัง ตระกูลหลิวจะกล้าปลอมแปลงเรื่องใหญ่แบบนี้หรือ? ข้าเห็นหลิวหมิงเสี่ยนดูเศร้าโศกมากนะ”
หยุนหยางหัวเราะเยาะ “ขุนนางในราชสำนักพวกนี้ เพื่อแย่งชิงอำนาจ เรื่องพิสดารกว่านี้ก็ทำมาแล้ว คนแก่อายุเก้าสิบกว่าแกล้งตายเพื่อปกป้องลูกหลานตระกูลจะแปลกอะไร แล้วก็ขุนนางฝ่ายบุ๋นอย่างหลิวหมิงเสี่ยน พวกนั้นชอบเสแสร้งอยู่แล้ว”
เขาพูดพลางหันมามองเฉินจี้ “เจ้าว่าข้าควรทำอย่างไรต่อ?”
เฉินจี้หลุบตาต่ำ ครู่หนึ่งจึงเอ่ยตอบ “ขุดศพ ตรวจศพ”
หยุนหยางตกใจ “ผู้เฒ่าหลิวเป็นบิดาแท้ๆ ของไทเฮาองค์ปัจจุบัน ข้าสืบตระกูลหลิวไม่มีปัญหา แต่ขุดโลงเขาคือรนหาที่ตาย! เพิ่งรู้ว่าเจ้าใจกล้ายิ่งกว่าข้าเสียอีก…แล้วถ้าเขาตายจริงล่ะ?”
เฉินจี้ประคองตะเกียงยันต์แปดเหลี่ยมไว้ด้วยมือทั้งสอง เงยหน้าสบตาหยุนหยาง “ท่านหยุนหยาง ต่อให้ผู้เฒ่าหลิวตายจริง แต่ท่านยอมไม่ขุดโลงดูสักหนได้หรือ?”
หยุนหยางเดินไปมาในห้อง ฝีเท้าร้อนรน คิดหาความเป็นไปได้ต่างๆ หลังขุดศพตรวจศพ จนในที่สุดเขาหยุดเดิน พูดทีละคำอย่างหนักแน่น “ขุดศพ ตรวจศพ!”
ตอนนั้นเอง ลมหนาวจากส่วนลึกของคุกในพัดมา จนตะเกียงยันต์แปดเหลี่ยมในมือเฉินจี้ส่ายไหว
เมื่อครู่เฉินจี้เพียงดูดกระแสน้ำแข็งจากห้องขังอักษรเจี่ย อี่เท่านั้น ไม่กล้าไปดูห้องขังหมายเลขอื่น
แต่ตอนนี้ลมหนาวพัดกระหน่ำ กระแสน้ำแข็งจากห้องขังปิ่ง ติง อู้ จี่ ที่อยู่ลึกเข้าไปในคุกในกลับขยับตัว พวยพุ่งออกมาเอง!
กระแสน้ำแข็งในตัวเฉินจี้มีแนวโน้มจะควบคุมไม่อยู่แล้ว!
ที่นี่ไม่ควรอยู่นาน
เฉินจี้ลุกขึ้น เดินออกไปข้างนอก “ท่านหยุนหยาง ออกมานานขนาดนี้ อาจารย์ข้าคงเป็นห่วงแล้ว รบกวนส่งข้ากลับก่อนเถิด”
หยุนหยางยิ้มเย็นน่ากลัว “เจ้าออกความคิดให้ข้า แต่ตัวเองจะกลับไปก่อน? ไปด้วยกันสิ พวกเราไม่ควรพาสิงกวนคนอื่นไปด้วย พอดีเลย เจ้ามีพรสวรรค์ด้านตรวจศพ ถ้าผู้เฒ่าหลิวอยู่ในโลง เจ้าก็ตรวจสาเหตุการตายได้ด้วย ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น ทุกคนก็ตายพร้อมกันหมด”
เฉินจี้ลังเล “ท่านหยุนหยาง ความดีความชอบเป็นของท่านกับท่านเจียวถู่ ข้าแค่เสนอแผนเท่านั้น”
“ถ้าไม่พาเจ้าไปด้วย เกิดแผนของเจ้าย้อนกลับมาปลิดชีพพวกเรา ข้าไม่แย่เอาหรือ?” หยุนหยางหัวเราะเย็น “รีบไปเถอะ ไปรับเจียวถู่ พวกเราต้องไปถึงใกล้สุสานบรรพชนตระกูลหลิวก่อนค่ำ”
หยุนหยาง เจียวถู่ไม่เก่งเรื่องจับสายลับ แต่เก่งเรื่องป้องกันตัว โยนความผิด แย่งความดีความชอบ
เขาผูกผ้าปิดตาเฉินจี้ใหม่ พลางถามอย่างแปลกใจ “เจ้าถือตะเกียงยันต์แปดเหลี่ยมนั่นไว้ทำไมตลอด?”
เขาพูดพลางยื้อแย่ง วางมันกลับที่เดิม
เฉินจี้ปล่อยให้หยุนหยางดึงรั้งเสื้อผ้าของตน พลางเดินโซเซออกจากคุกใน
ในรถม้าที่โคลงเคลง เขานั่งตัวตรงกัดฟันแน่น พอไม่มีตะเกียงยันต์แปดเหลี่ยมนั่น กระแสน้ำแข็งก็อาละวาดไร้ที่ยั้ง
ม่านผ้าสีเทาตรงหน้าต่างรถม้า ถูกลมพัดพลิ้วเป็นระยะ แสงอาทิตย์ยามเย็นอาบไล้ใบหน้าเขา แต่รู้สึกไม่ถึงความอบอุ่นเลย
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใด มีคนเปิดม่านรถม้า กลิ่นหอมเย็นโชยมา เจียวถู่ลอดเข้ามาในรถ “อ้าว หยุนหยาง เจ้าพาเจ้าหนุ่มนี่มาด้วยทำไม?”
หยุนหยางขับรถม้าอยู่ข้างหน้า “เจ้าหนุ่มนี่ออกความคิด ต้องพามาด้วยสิ”
เจียวถู่ดึงผ้าปิดตาเฉินจี้ออก ดึงสำลีออกจากหูเขา ถามอย่างอยากรู้ “หยุนหยาง ได้ยินว่าเจ้าส่งพัศดีของคุกในเมืองหลัวไปหลิ่งหนานหมดแล้วหรือ? ฉิวสู่จะโกรธไหมที่เจ้าตัดสินใจเอาเอง? คุกในเป็นอาณาเขตของนางนะ”
หยุนหยางแสดงสีหน้าเหยียดหยาม “นางควรเอาเวลาไปคิดว่า จะเผชิญหน้ากับความพิโรธของอัครเสนาบดีฝ่ายในอย่างไรดีกว่า คุกในถูกแทรกซึมจนเป็นรูพรุน ข้อมูลรั่วไหลตามใจชอบ เรื่องนี้ข้าต้องเอานางไปฟ้อง”
เจียวถู่ครุ่นคิด “แต่ถูกส่งไปหลิ่งหนานทรมานมากนะ ต้องเดินทางไกล ได้ยินว่าที่นั่นไข้จับสั่นระบาดหนัก ติดแล้วจะทรมานหลายวันกว่าจะตาย”
หยุนหยางชะงักไป “อาฮะ……แล้วต้องทำยังไง?”
“ฆ่าทิ้งที่เมืองหลัวก็พอ วิ่งไปไกลทำไม” เจียวถู่พูดอย่างจริงจัง
“มีเหตุผล”
พูดจบ เจียวถู่มองเฉินจี้ พูดอย่างจริงจังอีกครั้ง “เจ้าคงไม่ได้หลอกพวกเราใช่ไหม หลอกพวกเรามีโทษถึงตายนะ”
เฉินจี้ยิ้ม “ท่านเจียวถู่ หลอกท่านกับท่านหยุนหยาง แล้วข้าจะไปหาเงินจากใครล่ะ?”
“รู้ก็ดี!” เจียวถู่พูดพลางยิ้มหวาน นางยกข้อมือตัวเองเข้าใกล้ปลายจมูกเฉินจี้ “เจ้าดมสิ ข้าเพิ่งซื้อมาจากหอหญิงงาม หอมไหม? แพงมากเลยนะ”
หยุนหยางขมวดคิ้ว “ให้เขาดมอะไร!?”
เจียวถู่เหลือบมองเขา “ขับรถของเจ้าไป อย่ายุ่ง”
หยุนหยางหุบปากอย่างอึดอัด
ตลอดทาง เฉินจี้เห็นกระดาษเงินกระดาษทองกระจายเกลื่อนสองข้างทาง นั่นเพราะวันที่ตระกูลหลิวจัดพิธีศพ ระหว่างแห่ศพ ได้โปรยพวกมันขึ้นไปบนฟ้า
หยุนหยางพูดอย่างดูแคลน “ตอนมีชีวิตแต่งกายหรูหรากินอาหารแพง ตายแล้วยังต้องโปรยกระดาษเงินมากขนาดนี้ อยากไปรวยต่อที่โลกหน้า แต่กับนักเรียนยากจน แม้แต่กระดาษยังไม่มีเงินซื้อ”
เจียวถู่หัวเราะเล่น “ดูเจ้าเกลียดชังความชั่วขนาดนี้ น่าจะให้ท่านอัครเสนาบดีฝ่ายในย้ายเจ้าไปกรมอาญาถึงจะถูก พวกเขาสืบสวนขุนนางฉ้อฉลทุกวันเลย”
“ข้าไม่ไปหรอก กรมอาญามีแต่พวกหัวโบราณ น่าเบื่อจะตาย”
……
……
ยามค่ำ หยุนหยางกับเจียวถู่สลับกันขับรถ เขาลอดเข้ามาในรถเฝ้าเฉินจี้
“จริงสิ” หยุนหยางจ้องตาเฉินจี้ตรงๆ “ลูกหลานตระกูลหลิวตอนถูกสอบสวนเคยบอกว่า หลิวเสินหยูเคยสนิทกับผู้มีอำนาจคนหนึ่งในจวนจิ้งอ๋อง ข้าสงสัยว่า จวนจิ้งอ๋องก็อาจมีเอี่ยวด้วย อาจมีสายลับราชวงศ์จิ่งแฝงตัวอยู่ในจวน……เจ้าพบเบาะแสอะไรในจวนบ้างไหม?”
เฉินจี้ใจหายวาบ “ท่านหยุนหยางแน่ใจหรือ ว่าในจวนมีสายลับ?”
อากาศในรถม้าแข็งทื่อทันที ราวกับมีมือที่มองไม่เห็นดึงรั้งระหว่างกัน
หยุนหยางถามอย่างครุ่นคิด “เจ้าคิดว่าหมอหลวงเหยาเป็นสายลับราชวงศ์จิ่งได้ไหม? เขามีหน้ามีตาในสำนักหมอหลวงที่เมืองหลวง ขุนนางใหญ่โตหลายคนอยากเชิญเขาไปตรวจที่บ้าน แม้แต่ฝ่าบาทก็อยากเรียกเขาเข้าวังประจำ แต่เขากลับไม่ยอม สามปีก่อนดันมาอยู่เมืองหลัวนี่ มาเป็นหมอหลวงให้จวนจิ้งอ๋อง……เจ้าว่าแปลกไหม?”
“แปลก” เฉินจี้ถามอย่างอยากรู้ “หลายปีมานี้ อาจารย์ข้ามีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้างไหม?”
“หมอหลวงเหยาขึ้นชื่อเรื่องใจร้ายตั้งแต่อยู่เมืองหลวง แต่ท่านอัครเสนาบดีฝ่ายในเคยบอกว่า สมัยก่อนเขาไม่เป็นแบบนี้ ตอนนั้นหมอหลวงเหยาชอบทำบุญ ถึงขั้นยอมรักษาคนฟรี”
เฉินจี้ครุ่นคิดครู่หนึ่ง “ข้าว่าอาจารย์ข้าไม่ค่อยเหมือนสายลับ ก่อนหน้านี้มีคนในจวนมาหาให้ตรวจ เขายังไม่อยากไปเลย ถ้าเป็นสายลับ จะปล่อยโอกาสใกล้ชิดผู้มีอำนาจในจวนไปได้อย่างไร?”
“มีเหตุผล” หยุนหยางลูบคาง “แล้วพี่น้องร่วมสำนักสองคนของเจ้าล่ะ? ข้าตรวจสอบพวกเขาแล้ว หลิวฉวีซิงเป็นสายแยกของตระกูลหลิว เขาพอเป็นไปได้ไหม?”
เฉินจี้หายใจเข้าลึก แสดงสีหน้างุนงง “ท่านหยุนหยาง ท่านไม่ได้กำลังอ้อมค้อมสงสัยข้าหรอกนะ?”
หยุนหยางหัวเราะ “เป็นเจ้าได้อย่างไร? ข้าไว้ใจเจ้าอย่างสุดซึ้ง แค่เตือนให้เจ้าระวังคนรอบข้างเท่านั้น”
เจียวถู่พูดขึ้นทันที “จอดรถม้าที่ป่าข้างทางตรงนั้น ใกล้จะถึงสุสานบรรพชนตระกูลหลิวแล้ว พวกเราข้ามภูเขานี้ไป เดินเท้าต่อ”
ทั้งสามลงจากรถ เดินไปตามทางภูเขาข้างถนนใหญ่ ปีนขึ้นไปจนถึงยอดเขาจ้วงหยวน
หยุนหยางกับเจียวถู่เคลื่อนที่เร็วมาก เฉินจี้คิดว่าตนเองจะเหนื่อยหอบ แต่ก็ต้องผิดคาด เมื่อปีนถึงยอดเขาแล้วกลับแทบไม่มีเหงื่อออก
เขาหอบหายใจ นอนแผ่บนภูเขา อ่อนล้าทีเดียว “ที่นี่มองเห็นสุสานบรรพชนตระกูลหลิวไหม?”
หยุนหยางชี้ไปข้างหน้า “นั่นไงล่ะ จุดสูงสุดของเป่ยหมาง”
เฉินจี้พยุงตัวลุกขึ้นมองไกล พบว่าบนจุดสูงสุดของภูเขาเป่ยหมาง มีแผ่นหินจารึกและสุสานที่ก่อด้วยหินเรียงรายต่อเนื่อง ทอดยาวหลายสิบไร่ สุสานบรรพชนตระกูลหลิวช่างยิ่งใหญ่ตระการตา
หน้าสุสานแต่ละแห่งมีรูปปั้นหินคน หินแกะ หินเสือ เสาหินสลัก หลุมศพบางแห่งสูงกว่าสิบฉื่อ*!
(*1 ฉื่อประมาณ 1 ฟุต)
ต้องไม่ลืมว่า ราชวงศ์หนิงมีระบบชนชั้นเข้มงวด ประชาชนธรรมดาห้ามนั่งเกี้ยว สามัญชนห้ามสวมรองเท้าบู๊ต ผู้ที่ไม่ใช่ขุนนางห้ามใส่หมวก กฎหมายทุกข้อล้วนแสดงถึงระเบียบและชนชั้น
สุสานของตระกูลหลิวที่สูงกว่าสิบฉื่อหลายแห่งนี้ เจ้าของต้องเป็นขุนนางชั้น 3 ขึ้นไปตอนมีชีวิต
หยุนหยางมองสุสานบรรพชน พลางพูดอย่างซาบซึ้ง “ตระกูลขุนนางฝ่ายบุ๋นราชวงศ์หนิงของเรา สืบทอดตำแหน่งมาพันปี ขี่คอประชาชนดูดเลือด สะสมทรัพย์สมบัติมหาศาล ถึงได้ยิ่งใหญ่เพียงนี้”
เฉินจี้เริ่มตงิดใจว่ามีบางสิ่งไม่ชอบมาพากล
ราชวงศ์หนิงดำรงอยู่มาพันปีแล้วหรือ? นี่เป็นเรื่องเหลือเชื่อ ตามกฎของประวัติศาสตร์แล้ว มันแทบเป็นไปไม่ได้เลย
เว้นแต่มีอำนาจภายนอก
ตอนนั้นเอง เจียวถู่เอ่ยปาก “การตายของผู้เฒ่าหลิวไม่ปกติจริงๆ ดูนั่นสิ ในสุสานบรรพชนมีทหารส่วนตัวประจำการอยู่นับร้อยนาย อาจมีสิงกวนคุมอยู่ด้วยซ้ำ คราวก่อนส่งหน่วยสืบลับมาสำรวจเมืองหลัว เคยสำรวจที่นี่ด้วย ตอนนั้นสุสานบรรพชนตระกูลหลิวมีคนเฝ้าแค่สิบกว่าคน”
“งั้นคงบุกไม่ได้แล้ว” หยุนหยางขมวดคิ้วมองเจียวถู่ “เจ้าลงมือเอง? ข้าไปขุดโทงๆ คงไม่สะดวก”
เจียวถู่เหลือบมองเฉินจี้ “ให้เขาปิดตาหันหลังให้ข้า เจ้าคอยคุ้มกันข้า”
เฉินจี้หันหลังไปเอง เขาเข้าใจดีว่า วิถีฝึกตนของสิงกวนห้ามให้คนอื่นล่วงรู้
เห็นเขาปิดตาแล้ว เจียวถู่นั่งขัดสมาธิบนยอดเขา ชักดาบสั้นตรงเอวกรีดหว่างคิ้วตนเอง
หยุนหยางก็กรีดนิ้วตนเอง วาดดวงตาให้หุ่นกระดาษเงาสิบกว่าตัว เฝ้าอยู่ข้างเจียวถู่อย่างแน่นหนา
อึดใจต่อมา หว่างคิ้วเจียวถู่มีเงาดำพุ่งออกมา เหมือนปูลอกคราบ แยกออกจากร่างกายนาง
เงานั้นยืนนิ่ง รูปร่างเหมือนเจียวถู่ไม่มีผิด แต่สวมเกราะเบาสีดำ มือถือง้าวมังกรเขียวที่สูงกว่าคนคว่ำลง!
เจียวถู่ตัวจริงสงบนิ่งไม่ไหวติง ส่วนวิญญาณเงานั้น หันมองหยุนหยางแล้วเอ่ยปาก “ข้าไปละนะ”
พูดจบ เขาเห็นวิญญาณเงานั่น เดินไปยังขอบหน้าผาแล้วกระโดดลง ตกลงบนยอดไม้ด้านล่างภูเขาอย่างเบาหวิวราวไร้น้ำหนัก ทุกครั้งที่กระโดด จะข้ามต้นไม้ใหญ่กว่าสิบต้นได้สบาย มุ่งหน้าตรงไปสุสานบรรพชนตระกูลหลิว!
ทีละเล็กละน้อย เมื่อฟ้ามืดสนิท วิญญาณเงานั่นก็กลืนเป็นหนึ่งเดียวกับความมืด
เมื่อวิญญาณเงาเจียวถู่มาถึงหน้าสุสานผู้เฒ่าหลิว ก็ถือโอกาสที่ทุกคนไม่ทันสังเกต พุ่งตรงเข้าไปในหลุมศพที่ก่อด้วยหิน!
ราวกับกำแพงหินนั้นไม่มีตัวตน!
ผ่านไปนาน วิญญาณเงาถอยกลับอย่างรวดเร็ว มุดเข้าหว่างคิ้วเจียวถู่แล้วหายไป
นางลืมตาขึ้นทันที พูดอย่างตกใจ “ในโลงไม่มีคนจริงๆ!”
(จบตอน)
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น