ตอนที่ 0041 พุทธบุตรกลับมาจุติ
สามเณรน้อยรูปงามในจีวรขาวยืนอยู่ใต้แสงจันทร์ สีหน้าไม่ดีใจไม่เศร้าใจ ดูมีพุทธลักษณะ
สามเณรน้อยมองเฉินจี้กล่าว “อาตมานามหลัวจุยส้าเจีย แต่ทุกคนชอบเรียกอาตมาว่าสามเณรน้อย ท่านเรียกอาตมาว่าสามเณรน้อยก็ได้”
ไป๋หลี่ธิดาอ๋องเกาะอยู่บนหัวกำแพง หันมาแนะนำเฉินจี้ “สามเณรน้อยเป็นพุทธบุตรกลับมาจุติ เก่งกาจมาก! เขาบอกว่าท่านเก่งมาก งั้นท่านต้องเก่งมากแน่ๆ!”
เฉินจี้ลังเลครู่หนึ่ง “พุทธบุตรกลับมาจุติ ปีนกำแพงยังลำบากขนาดนี้เชียว?”
สามเณรน้อยอึดอัดนิดหน่อย “อาตมายังบำเพ็ญไม่สำเร็จ พระอาจารย์สั่งให้สวด ‘พระกษิติครรภโพธิสัตว์มูลปณิธานสูตร*’ หนึ่งแสนจบ อาตมาเพิ่งสวดได้เจ็ดหมื่นกว่าจบ ปณิธานที่ตั้งไว้ก็ยังทำไม่สำเร็จ…”
(*คัมภีร์สำคัญในพระพุทธศาสนามหายาน กล่าวถึงปณิธานและความเมตตาของพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ในการช่วยเหลือสรรพสัตว์ให้พ้นจากความทุกข์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอบายภูมิ [นรก] )
เฉินจี้ครุ่นคิด คำพูดของสามเณรน้อยเผยข้อมูลมากมาย วิถีฝึกตนของอีกฝ่ายคือ สวดมนต์และบรรลุปณิธาน สวดครบแสนจบเป็นด่านหนึ่ง พอสวดครบแสนจบน่าจะมีฤทธิ์แรงขึ้นบ้าง
อีกฝ่ายเปิดเผยวิถีฝึกตนออกมาเช่นนี้ นับว่าจริงใจทีเดียว
ขณะนั้น โอรสอ๋องมองสำรวจเฉินจี้ด้วยความอยากรู้ “สามเณรน้อย เจ้าว่าเขาเก่งมากหรือ? ดูไม่เหมือนเลยนะ”
โอรสอ๋องไม่ได้สวมเสื้อขนมิ้งค์เหมือนตอนกลางวัน แต่เปลี่ยนเป็นเสื้อคอไขว้ชายยาวสีดำ ปักลายดอกบัวเงินบนผ้า ดูเรียบง่ายพอควร แต่กลับไม่เข้ากับโอรสอ๋องที่ค่อนข้างหรูหราเกินงาม
สามเณรน้อยปัดฝุ่นบนจีวร รูปลักษณ์วัยสิบสี่สิบห้าใสบริสุทธิ์ เขาชี้ไปที่อกตัวเองกล่าว “ความเก่งที่อาตมาพูดถึงไม่ใช่เรื่องกำลัง แต่เป็นเรื่องจิตใจ คนเราทุกคนมีโจรสามตัวในใจ คือโลภ โกรธ หลง ท่านผู้นี้ในใจไม่มีโลภและโกรธแล้ว เหลือแต่ความหลงตัวเดียว นับว่าเก่งมากแล้ว”
“โลภคือกิเลสตัณหาอันต่ำทราม ความวิบัติมากมายในโลกนี้เกิดจากคำว่าโลภ ไม่โลภไม่ใช่ไม่รักทรัพย์ แต่เป็นการรู้จักข่มใจ”
“โกรธคือความเคืองแค้นอันไร้ปัญญา หากคนยังมีความโกรธ ก็เรียกว่าผู้มีปัญญาไม่ได้ เพราะความโกรธจะบดบังสติปัญญา”
เฉินจี้ครุ่นคิดอยู่ครู่ “แล้วความหลงล่ะ?”
สามเณรน้อยยิ้ม “หลงคือความยึดมั่นถือมั่น เมื่อมีความยึดติด ก็หลุดพ้นไม่ได้”
ไป๋หลี่ธิดาอ๋องนั่งคร่อมบนกำแพง แต่งกายคล่องแคล่วเหมือนบุรุษ เสื้อยาวสีขาว กางเกงสีขาว รองเท้าบูตสีขาว ปิ่นปักผมหยกขาว มีเพียงจี้ที่คอเป็นหยกแดง ราวกับจุดแดงบนหน้าผากปลาคาร์ปขาว
นางเท้าคางถามด้วยความสงสัย “สามเณรน้อย เจ้าพูดลึกลับนัก แล้วตัวเจ้าเองตัดโจรไปกี่ตัวแล้ว?”
สามเณรน้อยคิดอยู่ครู่ “อาตมาก็เช่นกัน เหลือแค่ความหลงตัวเดียว”
ไป๋หลี่ธิดาอ๋องซักต่อ “เหลือความหลงตัวเดียวทำไมไม่ตัด?”
“ไม่ใช่ไม่ตัด แต่ยังไม่มี” สามเณรน้อยอธิบาย “อาตมายังไม่มี ‘ความหลง’ จึงตัดไม่ได้ พระอาจารย์ให้อาตมามาจงหยวน (ที่ราบกลาง) คราวนี้ ก็เพื่อให้อาตมาค้นหา ‘ความหลง’ แล้วจึงตัดทิ้ง ตอนนี้อาตมายังหาไม่เจอ ไม่รู้ว่า ‘ความหลง’ เป็นเช่นไร แต่อาจารย์บอกว่า วันที่พบเจอ จะรู้เองโดยธรรมชาติ”
“อ๊ะ! แต่ก่อนไม่เคยได้ยินเจ้าพูดเรื่องนี้เลย...แต่ไม่มี ‘ความหลง’ ไม่ดีกว่าหรือ? หาทำไมอีก ไม่เท่ากับทำเรื่องเกินจำเป็นหรอกหรือ?” ไป๋หลี่สงสัย
สามเณรน้อยส่ายหน้า “นี่คือหนึ่งกรรม ไม่ผ่านกรรม ไม่ถึงพุทธภูมิ”
โอรสอ๋องที่ยืนพิงกำแพงอยู่ด้านข้าง เริ่มรู้สึกเบื่อหน่าย “พวกเจ้านักบวชมีเมตตาเป็นใหญ่ ทำไมพูดแต่ตัดนั่นตัดนี่ ฆ่าฟันกันไม่ดีหรอก!”
สามเณรน้อยส่ายหน้า “นิกายเก๋อหนิงของอาตมาไม่เคยพูดถึงความเมตตา”
“อ้อ? แล้วพวกเจ้าสั่งสอนอะไรกัน”
“ความกล้าหาญยิ่งใหญ่”
ไป๋หลี่ธิดาอ๋องนั่งคร่อมบนสันกำแพง ยกขาข้างหนึ่งมาพาดไว้ “พี่ หยุดคุยก่อน มารับข้าหน่อย”
“เอ้า มาแล้ว” โอรสอ๋องเดินมาชิดกำแพง ให้น้องสาวเหยียบบ่าแล้วกระโดดลงมา
เฉินจี้เอาแต่เงียบมอง โอรสอ๋องกับไป๋หลี่ธิดาอ๋อง แม้มิได้เกิดจากมารดาเดียวกัน แต่ความสัมพันธ์กลับดีเกินคาด
และโอรสอ๋องผู้นี้ ทั้งที่อายุยี่สิบปีเต็มแล้ว กลับยังวางตัวไม่เป็นท่าเป็นทาง...
เดี๋ยวก่อน อูหยุนเคยบอกว่า ในจวนอ๋องน่าจะมีหลิงยุ่นธิดาอ๋องที่เกิดจากจิ้งเฟยด้วย เหตุใดจึงไม่เห็นมาด้วยกัน?
ขณะนั้น โอรสอ๋องหันมามองเฉินจี้ “ท่านคือ...”
“เฉินจี้”
โอรสอ๋องหัวเราะ “เฉินจี้เอ๋ย ข้าเห็นเจ้าก็เป็นคนหน้าตาดี ภายหน้าเราคงเป็นมิตรที่ดีต่อกันได้ แต่วันนี้ไม่ทันจะคุยกันแล้ว ที่หน้าประตูยังมีสหายรออยู่อีกหลายคน พวกเราขอตัวก่อน ลูกหลานยุทธภพด้วยกัน มีวาสนาค่อยพบกันใหม่!”
จูไป๋หลี่รีบพูดเสริม “ใช่ๆๆ พรุ่งนี้เช้ากลับมา จะซื้อขนมเนื้อลาย่างของหม่าเจียมาฝากด้วย!”
พูดจบ โอรสอ๋องก็พาสามเณรน้อยกับไป๋หลี่ธิดาอ๋องเดินจากไป
เฉินจี้ยกแขนขวางทาง “รอก่อน”
“อ้าว?” โอรสอ๋องถอยหลังไปก้าวหนึ่ง “มีอะไร?”
เฉินจี้กล่าว “ค่าปิดปาก คนละสิบตำลึงเงิน ไม่งั้นข้าเรียกทหารจวนอ๋องแล้วนะ”
โอรสอ๋องร้องลั่น “น้อยๆ หน่อย เจ้านึกว่าพวกเราไม่รู้ราคาตลาดข้างนอกหรือไง สิบตำลึงเงินซื้อเรือนชานเมืองได้เลยนะ เจ้าไปปล้นไม่ดีกว่าหรือ...สามเณรน้อย เจ้าบอกว่าเขาตัดความโลภทิ้งแล้วไม่ใช่หรือ?!”
สามเณรน้อยลังเลครู่หนึ่ง “นี่แสดงว่าเขาข่มใจได้มากแล้ว”
โอรสอ๋อง “?”
ไป๋หลี่ธิดาอ๋องมองเฉินจี้ “ครั้งละหนึ่งตำลึงเงิน ต่อไปพวกเรายังต้องผ่านอีกหลายครั้ง เจ้าก็ต้องคิดถึงน้ำซึมบ่อทรายบ้าง ไม่งั้นคราวหน้าไม่ผ่านทางเจ้าแล้วนะ!”
เฉินจี้ “ตกลง!”
ไป๋หลี่มองพี่ชายอย่างหมดหนทาง “พี่ ข้าต่อราคาน้อยไปหรือเปล่า เขาตอบรับเร็วจัง”
“ดูท่าจะใช่”
เฉินจี้กล่าว “ครั้งละหนึ่งตำลึงต่อคน คราวนี้พวกท่านมาสามคน ต้องจ่ายสามตำลึง”
ขณะนั้น มีคนตะโกนผ่านช่องประตู “โอรสอ๋อง ธิดาอ๋อง ออกมาหรือยัง?”
โอรสอ๋องมองไป๋หลี่ธิดาอ๋อง “จ่ายเงินเถอะ คนข้างนอกรอไม่ไหวแล้ว”
จูไป๋หลี่หยิบถุงหอมสีพื้นออกจากแขนเสื้ออย่างไม่เต็มใจ หยิบ ‘ถั่วเงิน’ สามเม็ดออกมาวางลงบนฝ่ามือเฉินจี้ “เอ้า! ตอนนี้ไปได้แล้วใช่ไหม?”
เฉินจี้ขยับหลบทางให้ พูดพร้อมรอยยิ้ม “ขอบคุณที่อุดหนุน ขอให้ทุกท่านสนุกสนานในค่ำคืนนี้”
โอรสอ๋องรีบวิ่งไปเปิดประตูโถงใหญ่ กลับเห็นคนรออยู่ข้างนอกสิบกว่าคน เอวยังคาดดาบและกระบี่ ดูเหมือนชาวยุทธภพทั้งนั้น
เฉินจี้ยังเห็นเหลียงโก่วเอ๋อร์กับเหลียงมาวเอ๋อร์ในหมู่คนด้วย
โอรสอ๋องถามที่หน้าประตู “พวกเราจะไปเที่ยวที่ไหนกัน?”
เสียงหัวเราะของเหลียงโก่วเอ๋อร์ดังขึ้น “ยามค่ำคืนของเมืองหลัวคึกคักอยู่ที่เดียว นั่นคือตลาดบูรพา ถ้าจะว่าสนุกที่สุดในตลาดบูรพา ย่อมต้องเป็นตรอกชุดแดง! ไปเถอะ โอรสอ๋องพาพวกเราไปดื่มที่ตรอกชุดแดงกัน!”
เฉินจี้ถึงกับตะลึง
ธิดาอ๋อง สามเณร ไปตรอกชุดแดง?!
ขณะนั้น ไป๋หลี่ธิดาอ๋องกำลังปิดประตูโรงยาอย่างระมัดระวัง เมื่อเหลือช่องเล็กๆ นางเห็นเฉินจี้มองมาแต่ไกล จึงย่นจมูกพลางเอ่ย ‘ฮึ่ม’ แผ่วเบา แล้วรีบปิดประตูลง
เฉินจี้ชั่งถั่วเงินในมือ อูหยุนปีนขึ้นต้นแอปริคอต กอดอุ้งเท้านอนบนกิ่งไม้
อูหยุนร้องเหมียว “พวกเขาเป็นคนดีนะ”
เฉินจี้ยิ้มน้อยๆ “ในฐานะโอรสอ๋องและธิดาอ๋อง ถูกข้าขวางทางยังไม่โกรธ ตั้งแต่ต้นจนจบไม่เอาฐานะมาข่ม นับว่าเป็นคนดีมากแล้วจริงๆ”
(จบตอน)
______________
ปัจจุบันแปลถึงตอน: 0051
ติดตามผู้แปล : www.facebook.com/bjknovel/
#พระเอกฉลาด #นิยายแฟนตาซี #qingshan
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น