ตอนที่ 0043 ดาบไร้คม



โรงยาไท่ผิงแต่ไหนแต่ไรไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับใคร  บนถนนอันซี  ไม่ว่าพ่อค้าแม่ขายจะมาแล้วไป  ผลัดเปลี่ยนกันเท่าใด  ฤดูใบไม้ผลิผ่านพ้น  ฤดูใบไม้ร่วงมาเยือน  หนาวสุดขั้วถึงร้อนสุดขีด  โรงยายังคงตั้งอยู่ที่เดิม  ให้ผู้คนมองเห็นแล้วอุ่นใจ


แต่โรงยาไท่ผิงกลับคึกคักขึ้นมาทันใด


โอรสอ๋องกับธิดาอ๋องกระโดดข้ามกำแพงเข้ามา  เหลียงโก่วเอ๋อร์กับเหลียงมาวเอ๋อร์มาขอพักอาศัย  เสียงหัวเราะ  ควันไฟจากเตา  คนยุทธภพที่แวะเวียนมาไม่ขาดสาย...


เฉินจี้ยืนอยู่หน้าประตู  มองหมอเฒ่าเหยาด้วยสีหน้าซับซ้อน  “อาจารย์  ท่านทำเช่นนี้เพื่อให้เขาสอนวิชาดาบแก่ข้าหรือ”


หมอเฒ่าเหยาประสานมือไพล่หลังยืนอยู่หน้าประตู  กล่าวเสียงเรียบเฉย  “วิถีดาบตระกูลเหลียงเลื่องชื่อเป็นอันดับหนึ่งในแคว้นยู่  ในโลกนี้ผู้ครองวิชามีมาก  แต่ผู้แสวงหาวิถีมีน้อย  เจ้าตั้งใจเรียนให้ดีเถิด”


เฉินจี้ถามด้วยความสงสัย  “วิชากับวิถีต่างกันอย่างไร”


หมอเฒ่าเหยาอธิบายเนิบนาบ  “วิถีคือทิศทางอันว่างเปล่า  วิชาคือหนทางใต้เท้า  จำไว้ให้ดี  ใช้วิถีนำวิชา  วิชาย่อมสำเร็จ  ใช้วิชานำวิถี  วิชาย่อมเสื่อม”


“แล้วท่านยังให้ข้าเรียนวิชาดาบก่อนหรือ”


“เรียนไปก่อน  วิธีเข้าถึงวิถีดาบจากวิชาดาบ  ถือเป็นความลับสุดยอดของตระกูลเหลียง  แต่ตระกูลเหลียงตอนนี้ไร้ทายาท  วิชานี้ไม่รู้เมื่อไรจะสูญหาย  เผื่อเหลียงโก่วเอ๋อร์อารมณ์ขึ้นมา  อาจจะถ่ายทอดให้เจ้าก็ได้……อ้อ  ช่วงนี้เจ้าหาเงินได้ไม่น้อย  ค่ากับข้าวของสองคนตระกูลเหลียงเจ้าออกเอง”


เฉินจี้ระแวงขึ้นมาทันที  “ท่านยังมาหมายตาเงินเล็กน้อยของข้าอีกหรือ”


หมอเฒ่าเหยา  “หมายตาสิ”


เฉินจี้  “...”


ขณะนั้นเอง  เสียงของเหลียงมาวเอ๋อร์ดังมาจากลานหลัง  “เอ่อ……ให้พวกเรานอนที่ไหนหรือ?”


เฉินจี้รีบเดินเข้าไปข้างใน  “นอนในห้องเด็กฝึกเถอะ  เตียงใหญ่ของพวกเรานอนได้ห้าคน”


เหลียงมาวเอ๋อร์รีบกล่าว  “ไม่ต้องๆ  เตียงใหญ่นอนห้าคนจะแออัดไปหน่อย  ให้พี่ข้านอนที่นี่  ส่วนข้าไปนอนในครัว”


เฉินจี้ยิ้มพลางว่า  “ไม่เป็นไร  แออัดหน่อยก็ไม่เป็นไร  ใกล้จะเข้าฤดูหนาวแล้ว  นอนที่ครัวจะหนาวตายได้”


“ก็ได้...”


เหลียงโก่วเอ๋อร์หลับสนิทไปแล้ว  เหลียงมาวเอ๋อร์ประคองเขาลงบนเตียงอย่างเบามือ  ถอดรองเท้าถุงเท้าให้


แต่เมื่อเหลียงมาวเอ๋อร์จัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว  เขากลับไม่เข้านอน  เพียงหันมามองเฉินจี้  กล่าวอย่างระมัดระวัง  “เอ่อ...ข้าช่วยทำงานได้นะ  ทั้งกวาดบ้าน  ทำกับข้าว  ซักผ้า  อะไรก็ได้  ข้าไม่กลัวเหนื่อย”


ยังไม่ทันที่เฉินจี้จะตอบ  เหลียงมาวเอ๋อร์ก็หยิบกะละมังมา  เก็บเสื้อผ้าสกปรกและถุงเท้าเหม็นในห้องเด็กฝึกไป  แล้วไปตักขี้เถ้าจากใต้เตาในครัว  นั่งยองๆ กลางลานบ้าน  ตักน้ำสองสามขันมาขยี้ซัก  ราวกับกลัวว่าโรงยาจะเปลี่ยนใจไม่ให้พวกเขาพี่น้องพักอาศัยต่อ


ขี้เถ้ากับผลจ้าวเจี่ยวถือเป็นน้ำยาขจัดคราบตามธรรมชาติของยุคนั้น  ครอบครัวที่มีฐานะดีจะใส่สะระแหน่  หวงฉิน  ใบบัวลงไปขยี้ด้วย  ซักเสร็จแล้วเสื้อผ้าจะมีกลิ่นหอมอ่อนๆ


เหลียงมาวเอ๋อร์ตัวอ้วน  นั่งยองๆ กับพื้นจึงลำบาก  เฉินจี้ครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วหยิบเก้าอี้ตัวเล็กมาให้  “นั่งซักเถอะ”


เหลียงมาวเอ๋อร์เงยหน้ายิ้ม  “ขอบใจ...ขอโทษด้วยนะ  ที่มาสร้างความลำบากให้พวกท่าน”


เฉินจี้พินิจดูอีกฝ่าย  หากไม่มีเหลียงโก่วเอ๋อร์อยู่ข้างกาย  เหลียงมาวเอ๋อร์ผู้นี้ดูไม่เหมือนคนในยุทธภพเลยสักนิด  กลับเหมือนลูกจ้างที่ทำงานหนักในร้านอาหารสักแห่งมากกว่า


“พวกเจ้าไม่มีเงินเหลือเลยหรือ”  เฉินจี้ถามด้วยความสงสัย


“ที่จริงข้าก็แอบเก็บไว้บ้าง  แต่ห้ามให้พี่ข้ารู้”  เหลียงมาวเอ๋อร์ยิ้มซื่อๆ  “ข้าตั้งใจว่า  พอเก็บเงินพอแล้วจะไปซื้อที่นาสักสองสามไร่แถวชนบทใกล้เมืองหลัว  แบบนั้นพี่ข้าก็ไม่ต้องไปขายชีวิตให้พวกคนมั่งมี  พวกเราพี่น้องก็พออยู่ได้”


“แต่คงไม่พอค่าเหล้าของพี่เจ้าหรอก”


“ถึงตอนนั้นค่อยว่ากันอีกที…”


ครั้นเหลียงมาวเอ๋อร์ซักเสื้อผ้าที่หลิวฉวีซิงกับเซ่อเติงเค่อสะสมไว้เสร็จหมด  ท้องของเขาก็ส่งเสียงโครกครากดังขึ้น


เหลียงมาวเอ๋อร์ทำหน้าเก้อเขิน  “เอ่อ...ในโรงยามีอะไรกินบ้างไหม  อะไรก็ได้  ข้าไม่เลือก”


เฉินจี้หยิบข้าวต้มข้าวโพดที่เหลือจากเมื่อคืนมาถ้วยใหญ่  ผักดองหนึ่งจาน  ขนมปังธัญพืชสี่ก้อนมาให้


แต่เห็นเหลียงมาวเอ๋อร์กินหมดรวดเดียว  เช็ดปาก  แล้วมองมาที่เขาอย่างเงียบๆ


เฉินจี้สูดหายใจลึก  หยิบขนมปังธัญพืชมาอีกสี่ก้อน  กับผักดองอีกหนึ่งจาน...


พอเหลียงมาวเอ๋อร์กินเสร็จ  เฉินจี้ก็พูดเสียงอ่อย  “พี่เจ้าต้องรีบสอนวิชาดาบให้ข้าแล้ว”


“หา...รีบขนาดนั้นเลยหรือ”  เหลียงมาวเอ๋อร์อึ้งไป


เฉินจี้กล่าวอย่างจริงจัง  “ถ้าพี่เจ้าไม่รีบสอน  ข้าเกรงว่าจะเปลี่ยนใจ...”


เหลียงมาวเอ๋อร์รีบถาม  “เจ้าเคยฝึกดาบมาก่อนหรือไม่”


“ไม่เคย”


เหลียงมาวเอ๋อร์คิดอยู่ครู่  “งั้นให้ข้าสอนก่อนก็ได้นะ  วิชาดาบพื้นฐานข้ารู้หมด”


พูดพลางเขยิบตัวอ้วนๆ  แกว่งมือสองที  “ตอนพ่อข้าสอนพี่ฝึกดาบ  ก็ให้ข้าเรียนด้วย  แต่ข้าไม่มีพรสวรรค์  เรียนไม่รู้เรื่อง”


เฉินจี้มองท่าทางงุ่มง่ามของเหลียงมาวเอ๋อร์  ชูคิ้วขึ้นแล้วเปลี่ยนเรื่อง  “พี่เจ้าแต่ก่อนก็เป็นแบบนี้หรือ”


“ไม่ใช่เลย”  เหลียงมาวเอ๋อร์รีบกล่าว  “พี่ข้าแต่ก่อนไม่ดื่มเหล้า  ไม่ไปสถานเริงรมย์ด้วย  ตอนนั้นพี่ข้าเป็นนักดาบคนดังแห่งแคว้นยู่  คนเดียวดาบเล่มเดียวปราบโจรสามขุนเขา  คนยุทธภพทั่วไปที่มาเมืองหลัวต้องมาคารวะพี่ข้าก่อน”


เหลียงมาวเอ๋อร์เล่าถึงความรุ่งโรจน์ในอดีตของพี่ชาย  ดวงตาเต็มไปด้วยความทรงจำและความชื่นชม


เฉินจี้ถามด้วยความอยากรู้  “แล้วต่อมา?”


เหลียงมาวเอ๋อร์ถอนหายใจ  น้ำเสียงเศร้าสร้อย  “ต่อมาพี่สะใภ้ข้าก็ปรากฏตัวขึ้น  นางงามเลิศ  อ่อนโยนยิ่งนัก  ดีกับพี่ข้า  ดีกับข้าด้วย  พี่สะใภ้เห็นพี่ข้าฝึกดาบ  ก็เอาแต่ตามติดขอให้สอนวิชาดาบ  ครั้นเรียนจบแล้ว  นางก็หายตัวไปเลย  นับแต่นั้น  พี่ข้าไม่ฝึกดาบอีก  หันไปหมกมุ่นกับสุราแทน”


วิชาดาบตระกูลเหลียงเป็นวิชาลับ  ห้ามถ่ายทอดแก่คนนอก  นี่ไม่เพียงเป็นกฎบรรพชนตระกูลเหลียง  หากแต่คนตระกูลเหลียงยังรู้ดีถึงความลับแห่งการฝึกตน  วิถีเดียวไม่อาจฝึกร่วมกัน


ทว่าเหลียงโก่วเอ๋อร์กลับถ่ายทอดวิชาดาบให้คนนอก  แล้วต้องจบลงเช่นนี้


เฉินจี้ถามด้วยความสงสัย  “พี่สะใภ้ของเจ้าไม่กลับมาอีกเลยหรือ”


เหลียงมาวเอ๋อร์ครุ่นคิดชั่วครู่  “พี่ข้าบอกว่า  นางคงกลับไปทางเหนือ  ไปราชวงศ์จิ่ง...”


คำยังไม่ทันขาด  เหลียงโก่วเอ๋อร์ก็โซเซเมามายเข้าประตู  ตวาดด้วยโทสะ  “ข้าบอกแล้ว  อย่าพูดเรื่องนี้อีก!”


เหลียงมาวเอ๋อร์หดคอหวาดหวั่น  “ไม่พูดแล้วๆ  ไม่พูดแล้ว”


เหลียงโก่วเอ๋อร์เหลือบตามองเฉินจี้  “เจ้าอยากเรียนดาบนักหรือ”


“อยาก”  เฉินจี้ตอบด้วยใจจริง


“ข้าถามเจ้า  เรียนดาบไปทำไม”  เหลียงโก่วเอ๋อร์ถามต่อ


“ป้องกันตัว”


เหลียงโก่วเอ๋อร์หัวเราะก้องกังวาน  “ถ้างั้นเจ้าไม่ควรเรียนดาบ!  วิชาดาบนั้นหนักแน่นดุดัน  ผู้เรียนดาบต้องมีความมั่นใจว่าจะผ่าขุนเขาได้ก่อน  ไม่ใช่มาพูดจาอะไรป้องกันตัว  ตอนที่เจ้าคิดจะป้องกันตัว  เจ้าก็ทิ้งดาบของเจ้าไปแล้ว!”


เฉินจี้ใคร่ครวญชั่วครู่  “ถ้างั้นข้าควรเรียนอะไร”


เหลียงโก่วเอ๋อร์โยนดาบประจำกายให้เฉินจี้  ชี้ไปทางครัว  “ไปหยิบฟืนมาท่อนหนึ่ง  ฟันลงไปฉาดเดียว  ข้าจะรู้เองว่าเจ้าควรเรียนอะไร”


เฉินจี้ไปหยิบท่อนฟืนมาตั้งกลางลาน  ชักดาบออกจากฝัก  แล้วฟันลงไปตามรอยแยกของเนื้อไม้


ดาบยาวติดค้างบนผิวท่อนฟืน  ถึงตอนนี้เองเขาจึงพบว่า  ดาบของเหลียงโก่วเอ๋อร์ไม่ได้ลับคมเลยแม้แต่น้อย!


เป็นไปได้อย่างไร  ดาบที่ไม่มีคม  กลับผ่างอบของหลินเฉาชิงขาดกลางอากาศได้


เขามองไปยังเหลียงโก่วเอ๋อร์  “ดาบนี้ทำไมไม่มีคม”


เหลียงโก่วเอ๋อร์ตอบอย่างไม่ใส่ใจ  “เพราะไม่จำเป็น”


เฉินจี้นิ่งงันไม่รู้จะตอบอย่างไร  เหลียงโก่วเอ๋อร์เลือกคำตอบที่  ‘เท่ที่สุด’  จากทางเลือกระหว่าง  ‘จริงจังที่สุด’  กับ  ‘ไม่จริงจังที่สุด’


ขณะนั้น  หลิวฉวีซิงกับเซ่อเติงเค่อก็ตื่นขึ้นมา  ทั้งคู่เกาะขอบประตูแอบมองออกมา


ทว่าเหลียงโก่วเอ๋อร์กลับพินิจรอยฟันของเฉินจี้อย่างถี่ถ้วน  ไม่รู้ว่ากำลังดูอะไร


เขาไม่พูดจา  รับดาบยาวจากมือเฉินจี้  แล้วแกว่งเบาๆ  ท่อนฟืนที่ตั้งกลางลานก็ขาดเป็นสองท่อน  รอยตัดเรียบลื่นราวกับขัดมัน


เหลียงโก่วเอ๋อร์หันมามองเฉินจี้  “ดาบคือความดุดัน  วิชาดาบตระกูลเหลียงข้าไม่หลบไม่หลีก  ไม่ว่าเจ้าจะมีช่องโหว่หรือไม่  ข้าฟันลงไปฉาดเดียว  ทั้งตัวเจ้าก็กลายเป็นช่องโหว่ไปหมด  แต่ดาบในมือเจ้าไม่เหมือนดาบ  กลับคล้ายกระบี่ที่มองหาจุดอ่อน  ใช้เล่ห์กลเป็นหลัก  ดังนั้นเจ้าไม่ควรฝึกดาบ  ต้องไปหาคนสอนกระบี่”


“นิสัยกำหนดวิถีได้ด้วยหรือ”  เฉินจี้ครุ่นคิด


“จิตกับใจต้องประสานกัน  หากวิถีที่เจ้าเดินไม่สอดคล้องกับจิตใจ  เจ้าก็ไปไม่ไกล”  เหลียงโก่วเอ๋อร์อธิบาย


เหลียงมาวเอ๋อร์ด้านข้างเอ่ยถามอย่างสงสัย  “พี่  ก่อนหน้านี้พี่บอกว่า  กระบี่คือวิถีของกษัตริย์  คล้ายกับวิชาดาบบ้านเรานี่”


เหลียงโก่วเอ๋อร์มองเฉินจี้ด้วยสายตาลึกซึ้ง  “กระบี่ที่ข้าพูดถึง  ไม่ใช่กระบี่ยาวที่คาดเอว  แต่เป็นเมล็ดกระบี่ของศาลเจ้านักรบแห่งราชวงศ์จิ่ง  ดังนั้นเจ้าไม่ควรมาเรียนดาบกับข้า  ควรไปเรียนกระบี่ที่ศาลเจ้านักรบราชวงศ์จิ่ง”


เฉินจี้ตะลึงงัน


เขาเคยถูกกระแสน้ำแข็งพัดพาเข้าสู่สมรภูมิบรรพกาล  คนในสมรภูมินั้นเคยถามเขาว่า  ผู้ใดขโมยเมล็ดกระบี่ของข้า


เมล็ดกระบี่ที่อีกฝ่ายพูดถึง  จะเกี่ยวข้องกับเมล็ดกระบี่ในศาลเจ้านักรบราชวงศ์จิ่งหรือไม่


เฉินจี้ถาม  “ต้องไปเรียนที่ศาลเจ้านักรบราชวงศ์จิ่งเท่านั้นหรือ”


เหลียงโก่วเอ๋อร์คิดอยู่ครู่  “ราชวงศ์หนิงน่าจะมีคนฝึกอยู่เหมือนกัน  แต่ครั้งสุดท้ายที่ผู้นั้นออกมือ  ก็สิบกว่าปีมาแล้ว  คนที่เคยเห็นฝีมือก็ตายหมดแล้ว”


เฉินจี้จมอยู่กับความคิด


หากต้องไปศาลเจ้านักรบราชวงศ์จิ่งจึงจะฝึกได้  นั่นหมายความว่า  เขาต้องสร้างความดีความชอบใหญ่ในราชวงศ์หนิง  เลื่อนขั้นทีละขั้น  จนได้ย้ายกลับไปราชวงศ์จิ่งกระนั้นหรือ


แล้วต้องรอนานถึงเมื่อไรกัน?


เหลียงโก่วเอ๋อร์จ้องมองเขา  “อย่าฝึกดาบเลย  ฝึกตอนนี้จะทำให้เจ้าเดินทางผิด  ภายหลังจะแก้ทางให้ถูกไม่ง่ายเลย”


เหลียงมาวเอ๋อร์พึมพำเบาๆ  “พี่  แต่ถ้าเขาไม่ฝึก  พวกเราจะพักที่ไหน  กินอะไร...”


เหลียงโก่วเอ๋อร์รีบเปลี่ยนคำพูดทันที  “ฝึกหลักกับฝึกเท้าก่อนก็ได้!  สุภาษิตกล่าวไว้ว่า  สอนหมัดอย่าสอนเท้า  ถ้าสอนเท้าศิษย์จะตีอาจารย์!  ย่างเท้าคือรากฐานการออกแรงทั้งกาย  ไม่ฝึกย่างเท้า  เจ้าชกหมัดก็ใช้แรงแค่แขนข้างเดียว  แต่แขนข้างเดียวจะไปมีแรงอะไร?  ฝึกย่างเท้าแล้ว  กำลังจะส่งจากขาถึงสะโพก  จากสะโพกถึงเอว  จากเอวถึงแขน  พลังทั้งกายรวมอยู่ที่จุดเดียว  จึงจะ...”


คำยังไม่ทันขาด  ก็ได้ยินเสียงตะโกนหน้าโรงยา  “เฉินจี้  เฉินจี้!”


เซ่อเติงเค่อหันไปมองทันที  เฉินจี้ขมวดคิ้ว  ทั้งคู่ต่างรู้ว่านั่นเป็นเสียงของชุนหวา


เซ่อเติงเค่อลังเลอยู่นาน  สุดท้ายก็ไม่ก้าวออกจากห้อง  เฉินจี้เดินมาหน้าประตูโรงยา  ถามด้วยความสงสัย  “แม่นางชุนหวา  มีธุระอันใดหรือ”


ชุนหวาตายังบวมช้ำจากการร้องไห้  นางยื่นบัตรเชิญมาพลางกล่าวเสียงแผ่ว  “นายหญิงข้าเชิญทุกคนในโรงยาไปร่วมงานชุมนุมบัณฑิตที่จวนอ๋องยามเย็น  บอกว่ามีเรื่องสำคัญจะปรึกษากับท่าน”


เฉินจี้เปิดบัตรเชิญสีแดง  เห็นข้อความว่า  ขอเชิญในค่ำคืนวันที่สิบเดือนเก้า  จัดงานเลี้ยง  เชิญนักปราชญ์บัณฑิตเมืองหลัว  ร่วมสนทนาถ้อยทีถ้อยอาศัย  หวังว่าจะไม่ปฏิเสธ  รอพบหน้าเพื่อสนทนาให้จุใจ


—จวนจิ้งอ๋อง  จูหยุนซี


งานสโมสรเป็นของโอรสอ๋อง  แต่จิ้งเฟยจะอาศัยงานนี้มาปรึกษาเรื่องตระกูลหลิวกับตนหรือ


ชุนหวาเอาแต่จ้องมองเฉินจี้ด้วยแววตาวิงวอน  พลางบรรจงพลิกแขนเสื้อ  เผยให้เห็นรอยเฆี่ยนด้วยไม้เรียวเต็มไปหมด


เฉินจี้ส่ายหน้า  “แม่นางชุนหวา  ให้ข้าดูนี่ไม่มีประโยชน์  หากข้าไม่อยากไป  ต่อให้เจ้าถูกเฆี่ยนอีกรอบ  ก็ไม่เกี่ยวกับข้า”


ชุนหวาตื่นตระหนก


ทว่าเฉินจี้เปลี่ยนน้ำเสียง  “แต่ช่วยบอกจิ้งเฟยด้วย  ข้าจะไป”


(จบตอน)  


______________
ปัจจุบันแปลถึงตอน: 0054
ติดตามผู้แปล : www.facebook.com/bjknovel/
#พระเอกฉลาด #นิยายแฟนตาซี #qingshan

Previous Next

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตอนที่ 0001 กลับสู่ศูนย์

ตอนที่ 0007 บุพการี

ตอนที่ 0010 ตำหนักหวั่นซิง