ตอนที่ 0044 ชุมนุมบัณฑิต



บัตรเชิญสีแดงผูกด้วยเชือกสีเหลืองอำพัน  ภายในประดับลายเมฆมงคลปิดทองคำ  ดูหรูหราโอ่อ่า  ทว่าขาดความสุภาพสง่างามของนักปราชญ์


โอรสอ๋องผู้นี้ช่างชอบจัดงานเลี้ยงรับรองแขกเหลือเกิน  เมื่อวานเพิ่งจัดชุมนุมบัณฑิตไป  วันนี้ก็จัดอีก


เฉินจี้ถือบัตรเชิญกลับมาที่โรงยา  หลิวฉวีซิงเข้ามาใกล้  “บัตรเชิญช่างงดงาม...แต่บัตรเชิญที่ชุนหวานำมาให้ท่าน  ดีที่สุดคงไม่ควรไป”


พูดไปพลางเหลือบตามองเซ่อเติงเค่อวูบหนึ่ง  พึมพำเสียงแผ่ว  “ข้าไม่ได้หมายความอื่น  แค่เตือนเฉินจี้ว่าอาจมีอันตราย”


เซ่อเติงเค่อก้มหน้านิ่งไม่ปริปาก


ขณะนั้น  เหลียงโก่วเอ๋อร์ก็เข้ามาร่วมวง  พอเข้ามาใกล้  กลิ่นเหล้าก็โชยฟุ้ง  “ชุมนุมบัณฑิตช่วงบ่ายนี้นี่นา...เหตุใดถึงส่งบัตรเชิญให้เจ้าตอนเช้า?”


เซ่อเติงเค่อถามเสียงอู้อี้  “มีปัญหาอะไรหรือ”


เหลียงโก่วเอ๋อร์อธิบายด้วยท่าทีภาคภูมิ  “แน่นอนว่ามีปัญหา  การจัดงานเลี้ยงมีธรรมเนียม  ‘สามเชิญ’  เชิญแรก  ต้องส่งบัตรเชิญครั้งแรกล่วงหน้าสามวันก่อนงาน  เชิญที่สอง  ต้องส่งบัตรเชิญครั้งที่สองในเช้าวันจัดงาน  เชิญที่สาม  ต้องส่งบัตรเชิญครั้งสุดท้ายก่อนงานเริ่มหนึ่งชั่วยาม  การเชิญล่วงหน้าสามวันเรียกว่า  ‘เชิญแขก’  ส่วนเชิญวันเดียวกันเรียกว่า  ‘จับแขก’  แสดงว่าเจ้าเป็นเพียงตัวประกอบในชุมนุมบัณฑิตนี้เท่านั้น!”


“อ้อ”  เฉินจี้พยักหน้า  ทว่าหาได้ใส่ใจไม่


เหลียงโก่วเอ๋อร์รีบเสริมทันที  “งานเลี้ยง  ‘จับแขก’  ชั่วคราวแบบนี้  เจ้าไปแล้วจะถูกดูหมิ่น  ไม่สู้ให้ข้าไปแทนดีกว่า!”


เฉินจี้  “...ลูกคิดท่านกระเด็นใส่หน้าข้าแล้วนะ”


เขาหันไปมองหลิวฉวีซิงกับเซ่อเติงเค่อ  “ดังที่พี่หลิวกล่าว  ข้าเคยล่วงเกินจิ้งเฟยตอนไปตรวจอาการที่ตำหนักหวั่นซิง  คราวนี้ต้องไปคลี่คลายความเข้าใจผิดกับนาง  พวกท่านไม่ต้องไป  ข้าไปคนเดียวก็พอ”


สนามหลังเงียบสงบลง  หลิวฉวีซิงเกิดความลังเลใจ  ทว่าเซ่อเติงเค่อกลับก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว  “ข้าจะไปกับท่าน  หากมีเรื่องใดจริงๆ  จะได้ช่วยเหลือกัน”


พูดจบ  เซ่อเติงเค่อยังหันกลับมามองหลิวฉวีซิง  “เจ้าจะไปหรือไม่”


หลิวฉวีซิงตาลอยไปมา  “เจ้าจ้องข้าทำไม……ข้าไปแน่นอน  ไม่ได้มีแต่เจ้าที่ซื่อสัตย์สักหน่อย  แต่พวกเราไม่มีเสื้อผ้าที่มีเกียรติพอจะเข้าร่วมงานเลี้ยง  พวกเขาล้วนเป็นนักปราชญ์  กวี  และขุนนางผู้มีอำนาจ  พวกเราไปแบบนี้คงขายหน้า……ข้าไม่ได้หาข้อแก้ตัวนะ  ข้าหมายถึงพวกเราควรไปซื้อเสื้อผ้าก่อนในตอนเช้า  จะไปก็ต้องไปอย่างมีเกียรติ”


เซ่อเติงเค่อพูดเสียงเรียบ  “ข้าไม่มีเงิน”


หลิวฉวีซิงกัดฟัน  “ข้าให้เจ้ายืมก่อน  เดือนหน้าค่อยคืน!”


เหลียงโก่วเอ๋อร์ชมเชยอยู่ข้างๆ  “สามพี่น้องร่วมทุกข์ร่วมสุข  ข้าได้เห็นวิญญาณยุทธภพในตัวพวกเจ้า  หาได้ยากยิ่งนัก”


เหลียงมาวเอ๋อร์กลัวแต่ว่าเฉินจี้จะไม่ยอมเรียนดาบแล้ว  รีบเสริมทันที  “ตั้งใจฝึกดาบกับพี่ข้าให้ดี  ภายหน้าในยุทธภพอาจมีตำนานของพวกท่านก็เป็นได้”


ทว่าเหลียงโก่วเอ๋อร์กลับหัวเราะพลางทำลายบรรยากาศ  “มาวเอ๋อร์  คำพูดของเจ้าไม่เป็นมงคลเลย  ในยุทธภพไหนเลยจะมีตำนานที่ยังมีชีวิต  ต้องตายแล้ว  ถึงจะกลายเป็นตำนาน  พ่อหนุ่ม  วิญญาณนักพเนจรในยุทธภพถูกหักกระดูกสันหลังไปแล้ว  อย่าไปฟังน้องข้าพูดเหลวไหลเลย”


เหลียงมาวเอ๋อร์ผลักเหลียงโก่วเอ๋อร์เข้าไปในห้อง  “พี่พูดน้อยลงหน่อยเถอะ!”


...


...


ยามบ่ายเวลาสามโมง  หลิวฉวีซิงสวมเสื้อคลุมยาวสีครามเรียบร้อย  ผมถูกรวบด้วยผ้าโพกตาข่ายให้เส้นผมไม่ยุ่ง  ศีรษะสวมหมวกทรงกระเบื้องสีออกแดง  เท้าสวมรองเท้าเฉินเฉียว


เฉินจี้พินิจพิเคราะห์อีกฝ่าย  ชุดชั้นนี้บนร่างหลิวฉวีซิงผู้หน้าตาเจ้าเล่ห์  กลับช่วยส่งเสริมให้ดูมีท่าทีขุนนางได้  โดยเฉพาะหมวกผ้าดำบนศีรษะนั้น  ช่างเข้ากันยิ่งนัก


เซ่อเติงเค่อแต่งกายเรียบง่ายกว่า  เช่นเดียวกับเฉินจี้  ศีรษะปักแต่ปิ่นปักผมอันเดียว  เสื้อผ้าก็เป็นเพียงชุดผ้าซื้อใหม่เท่านั้น


ทั้งสามมาถึงประตูด้านข้างจวนอ๋องแล้วยื่นนามบัตร  บ่าวไพร่พอแลเห็นนามบัตรก็นำทางอย่างนอบน้อมทันที  มุ่งหน้าไปยังสระเฟยไป๋ในสวนหลัง


ระหว่างทาง  บ่าวไพร่กำชับว่า  “ขอแขกผู้มีเกียรติจงอยู่แต่ในสวนหลังเท่านั้น  อย่าได้บุกรุกเข้าเรือนหลังอันเป็นที่ประทับของเหล่าสตรีเป็นอันขาด”


หลิวฉวีซิงรีบรับคำ  “แม่นมวางใจเถิด  จะไม่มีพลั้งเผลอแน่”


ยิ่งเดินลึกเข้าไปในสวน  ทั้งสามก็ได้ยินเสียงบรรดาบัณฑิตกวี  สนทนากันอย่างคึกคักท่ามกลางเสียงซอเสียงขลุ่ย


ชายผู้หนึ่งกล่าวด้วยเสียงกังวาน  “ข้าว่าแล้ว  กองทัพม้าราชวงศ์จิ่งหาน่าเกรงขามไม่  ฤดูใบไม้ร่วงมาถึงแล้ว  ป่านนี้ยังผ่านด่านฉงหลี่ไม่ได้  ทั้งคนทั้งม้าย่อมอ่อนล้า  ไม่ช้าก็ต้องถอยทัพ  หากคิดจะฝ่าด่านจริงๆ  ปืนใหญ่และอาวุธปืนของต้าหนิงเรา  รับรองได้เลยว่ายับเยินแน่”


“ถูกต้อง!  จะว่าไปแล้ว  ภัยต่อแผ่นดินที่ร้ายแรงที่สุดมิใช่ราชวงศ์จิ่ง  หากแต่เป็นพวกขันที!  ถ้าข้าสอบผ่านคราวนี้  ถึงเบื้องพระพักตร์เมื่อไรจะทูลถวายพระองค์  ให้ทรงทราบถึงโทษภัยหากปล่อยให้ขันทีแทรกแซงราชการ!”


“ด้วยปรีชาญาณของท่านหลิน  การสอบท้องถิ่นคราวนี้ย่อมได้เป็นเจี้ยหยวน*แน่นอน  ครั้นถึงการสอบหน้าพระที่นั่ง  ก็คงได้เป็นจอหงวน*อีกด้วย!”


(*เจี้ยหยวน – อันดับที่ 1 ในการสอบท้องถิ่น


จอหงวน — อันดับที่ 1 ของแผ่นดินในปีนั้นๆ)


เสียงเดิมรีบถ่อมตัว  “เจี้ยหยวนปีนี้คงไม่พ้นเฉินเวิ่นจงแน่  สามปีมานี้ในสำนักตงหลิน  เขาเป็นดั่งแก้วตาดวงใจของบรรดาอาจารย์ทั้งหลายเลยทีเดียว”


หลิวฉวีซิงบ่นพึมพำเบา  “โอ้อวดเลอะเทอะกันจริงๆ  คนหนึ่งเจี้ยหยวนคนหนึ่งจอหงวน  ขอแบบนี้จะมีให้พวกเจ้าแบ่งกันหรือไร”


ริมสระเฟยไป๋มีโต๊ะเตี้ยตั้งเรียงรายนับสิบตัว  พื้นปูด้วยเสื่อไม้ไผ่  เหล่าบัณฑิตนักปราชญ์ต่างนั่งกับพื้น


ไม่ไกลนักยังมีศาลาไม้เล็กๆ หกหลัง  ม่านบังตากั้นสายตาผู้คน  คิดว่าคงมีเหล่าสตรีประทับอยู่ภายใน


หลิวฉวีซิงถามบ่าวไพร่ที่นำทาง  “ขอถามแม่นม  วันนี้มีคุณหนูตระกูลใดมาบ้างหรือไม่”


บ่าวไพร่ตอบ  “ขอแจ้งให้ท่านทราบ  มีธิดาตระกูลสูงศักดิ์มาเจ็ดแปดตระกูลเลยเจ้าค่ะ”


หลิวฉวีซิงได้ยินคำเรียก  ‘ท่าน’  ก็ยืดอกตั้งตัวตรงทันที  ปัดแต่งเสื้อผ้าอีกครั้ง  แล้วจึงไปนั่งตรงโต๊ะเตี้ยว่างตัวหนึ่ง


เขากระซิบว่า  “แม่ข้าเคยบอกไว้ว่า  ปกติเวลาจัดงานชุมนุมบัณฑิตเช่นนี้  เหล่าขุนนางจะให้นายหญิงพาธิดาวัยกำลังดีมาด้วย  คอยดูหลังม่านว่ามีผู้ใดถูกใจบ้าง  หากโชคดีถูกเลือก  ก็เท่ากับลัดเลี้ยวชีวิตไปสิบปี”


เฉินจี้ถอนใจ  “พี่หลิว  ท่านนี่ไม่ยอมอ้อมค้อมเลยสักนิด”


โต๊ะเตี้ยจัดเป็นสามแถว  ดูเหมือนจะเรียงตามฐานะสูงต่ำ  ผู้ใดนั่งตรงกลาง  ผู้ใดนั่งด้านหลัง


ทั้งสามนั่งเรียงกันแถวสุดท้าย  เซ่อเติงเค่อกวาดตามองไปรอบๆ ค้นหาร่างของชุนหวา  ขณะที่หลิวฉวีซิงแอบใช้นิ้วสะกิดเฉินจี้  “ดูแถวหน้าตรงข้าม  พี่ชายร่วมสายเลือดสองคนของเจ้า”


เฉินจี้มองไป  เห็นเฉินเวิ่นจงนั่งตัวตรง  สนทนากับผู้คนถึงแนวคิดของตน  หวังให้ราชสำนักเปิดรับฟังความเห็น  ฟื้นฟูการปกครอง


เขานั่งอยู่ท่ามกลางผู้คน  แม้รายล้อมด้วยบัณฑิตนักปราชญ์  ก็ยังดุจไข่มุกเม็ดงามที่ใครเห็นก็จดจำได้ในทันที


หันไปมองทางศาลา  ดูเหมือนเด็กสาวหลายคนกำลังแอบมองเฉินเวิ่นจงผ่านม่านบัง


ส่วนพี่ชายแท้ๆ อีกคน  เฉินเวิ่นเสี้ยวนั่งเอนเอียงไม่สำรวม  สายตาล่องลอยไม่รู้ไปอยู่ที่ใด  ตอนขี่ม้ายังไม่รู้สึกอะไร  แต่เวลานี้กลับดูด้อยกว่าเฉินเวิ่นจงลงไปมาก


ขณะกำลังพินิจอยู่นั้น  เฉินเวิ่นจงกับเฉินจี้บังเอิญสบตากัน  อีกฝ่ายยิ้มพยักหน้าทักทายเพียงเล็กน้อย  นึกว่าเป็นแขกธรรมดาที่มาร่วมงานชุมนุมบัณฑิต  มิได้ใส่ใจมากนัก


(จบตอน)  


______________
ปัจจุบันแปลถึงตอน: 0057
ติดตามผู้แปล : www.facebook.com/bjknovel/
#พระเอกฉลาด #นิยายแฟนตาซี #qingshan

Previous Next

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตอนที่ 0001 กลับสู่ศูนย์

ตอนที่ 0007 บุพการี

ตอนที่ 0010 ตำหนักหวั่นซิง