ตอนที่ 0045 รวดเดียวหมดจอก
ณ ที่นั่งแถวหน้าของงานเลี้ยง โอรสอ๋องและไป๋หลี่ธิดาอ๋องนั่งอยู่หลังโต๊ะ เพียงฟังทุกคนสนทนา ไม่แทรกแซง ทั้งสองกระซิบกระซาบกัน ไม่รู้ว่ากำลังคุยอะไรกัน
เฉินจี้มองดูสรรพสิ่งในชุมนุมบัณฑิตนี้ รู้สึกว่าตนเองไม่เข้ากับใคร และไม่รู้ว่าจิ้งเฟยหาโอกาสชวนตนไปคุยเมื่อไร
ขณะนั้น ชุนหวาเดินมาข้างกายเขาอย่างเงียบงัน ก้มตัวกระซิบว่า “นายหญิงของข้าเชิญท่านไปคุยด้วย”
เฉินจี้กวาดตามองไปรอบๆ งานชุมนุมบัณฑิต เมื่อแน่ใจว่าหยุนเฟยไม่ได้มาร่วมงานจึงผ่อนคลายลง
ทุกวันนี้ ต่อหน้าจิ้งเฟยเขาเป็นคนของกรมสืบลับ ต่อหน้าหยุนเฟยเขาเป็นคนของกรมข่าวกรองราชวงศ์จิ่ง ราวกับกำลังเดินบนเชือกที่ความสูงหมื่นเมตร รู้สึกตึงเครียดยิ่งนัก
เขาลุกขึ้นตามชุนหวามาถึงหน้าศาลาแห่งหนึ่ง มองผ่านม่านไม้ไผ่เข้าไปข้างใน เห็นได้เพียงเงาร่างเลือนรางของจิ้งเฟย
ชุนหวาถอยออกไป ทั้งในและนอกศาลานี้เหลือเพียงเฉินจี้กับจิ้งเฟยสองคน กั้นด้วยม่านหนึ่งผืน
จิ้งเฟยไม่พูดอะไรนาน เฉินจี้ก็ยืนอยู่อย่างนั้น ราวกับทั้งสองมาร่วมชุมนุมบัณฑิตอย่างตั้งใจ
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร จิ้งเฟยถามด้วยน้ำเสียงสงบว่า “ทุกคนต่างพูดกันว่า หลิวเสินหยูถูกกรมสืบลับบีบคั้นจนตาย เหตุใดเจ้าจึงบอกว่าเขาถูกฆ่าปิดปาก”
เฉินจี้ตอบอย่างเนิบนาบ “ข้าเป็นคนชันสูตรศพ มีคนสมคบกับผู้คุมคุกใน ปลอมแปลงให้เขาดูเหมือนผูกคอตาย แต่ความจริงแล้วถูกรัดคอตาย เรื่องนี้กรมสืบลับมีบันทึกให้ตรวจสอบได้”
จิ้งเฟยขมวดคิ้ว “บันทึกของกรมสืบลับข้าจะไปตรวจสอบได้อย่างไร จะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าไม่ได้หลอกข้า”
เฉินจี้ยืนอยู่นอกศาลา คิดครู่หนึ่งแล้วเอ่ยตอบ “ความจริงแล้ว ท่านรู้อยู่แก่ใจดีว่าข้าพูดจริง ถ้าตระกูลหลิวส่งถ้วยใบนั้นให้ท่านได้ ย่อมไม่เสียดายชีวิตหลิวเสินหยูคนเดียว ข้าก็เป็นเพียงคนตัวเล็กที่ทำงานให้กรมสืบลับ ท่านจิ้งเฟยไม่ควรมาหาความแค้นกับข้า”
จิ้งเฟยพูดเสียงเข้ม “อย่าคิดว่าเจ้าจะหลุดพ้นจากเรื่องนี้ได้ มีคนบอกข้าว่า หากไม่ใช่เพราะเจ้า กรมสืบลับก็หาจุดอ่อนของหลิวเสินหยูไม่เจอ! เมื่อเจ้าให้ชุนหวาฝากข้อความมา ก็จงบอกข้ามาว่าควรแก้แค้นอย่างไร ไม่อย่างนั้นเจ้าก็ต้องตาย!”
เฉินจี้มองดูบรรดานักปราชญ์ผู้มีการศึกษาตรงหน้า คนอื่นสนทนาเรื่องดอกไม้ใบหญ้า สนทนาอุดมการณ์ทางการเมือง แต่เขากลับคุยเรื่องความเป็นความตายในอีกโลกหนึ่ง “นายหญิง ตระกูลหลิวตอนนี้ใครดูแลกิจการที่เมืองหลัว เป็นหลิวหมิงเสี่ยนหรือไม่”
เมื่อได้ยินชื่อนี้ น้ำเสียงของจิ้งเฟยเห็นชัดว่าเต็มไปด้วยความแค้น “เขานั่นแหละ!”
น้ำเสียงที่กดข่มไว้ของจิ้งเฟย แฝงความคลุ้มคลั่งอยู่บ้าง ก่อนหน้านี้สูญเสียบุตร วันต่อมาก็เสียหลานชายใกล้ชิดไปอีก ความโศกเศร้าที่ต่อเนื่องทำให้นางอยู่ในภาวะใกล้คลุ้มคลั่ง
เฉินจี้ชื่นชมการแสดงอันยอดเยี่ยมของหลิวหมิงเสี่ยนในใจ คืนที่อีกฝ่ายล้อมจวนโจว ใส่ชุดไว้ทุกข์ ตาแดงก่ำ สีหน้าอิดโรย มองยังไงก็เป็นลูกกตัญญู “ท่านต้องการแก้แค้นอย่างไร”
“ข้าต้องการให้เขาตายอย่างทรมาน!”
เฉินจี้ผ่อนลมหายใจ ความแค้นได้ย้ายไปที่หลิวหมิงเสี่ยนแล้ว “เขามอบถ้วยให้ท่านเมื่อไร”
“ต้นฤดูใบไม้ผลิ!”
เฉินจี้ถามต่อ “ตอนนั้น เขาคงขอให้ท่านกระทำบางสิ่ง แต่ท่านไม่ยอม เขาจึงคิดจะส่งถ้วยใบนี้มาแก้แค้น ข้าอยากถามว่า ตอนนั้นเขาฝากให้ท่านทำเรื่องอะไรกันแน่”
“เจ้าถามเรื่องพวกนี้ทำไม”
เฉินจี้ตอบว่า “ถ้าไม่รู้ความต้องการของเขา แล้วจะแก้แค้นถูกได้อย่างไร”
จิ้งเฟยครุ่นคิดครู่หนึ่ง “ตอนนั้น ขุนพลเก่าคนหนึ่งของอ๋องได้เลื่อนตำแหน่งเป็นแม่ทัพใหญ่ นำทหารสองพันนายไปประจำการที่สำนักช่างเมืองหลัว หลิวหมิงเสี่ยนขอให้ข้าอ้างนามของอ๋อง ช่วยเขาติดต่อกับขุนพลเก่าคนนี้...”
เฉินจี้ตะลึงไปชั่วขณะ
โจวเฉิงอี้จัดให้ม้าผอมชุ่ยหยวนเข้าไปเพื่อเข้าใกล้สำนักช่าง หลิวหมิงเสี่ยนฝากเรื่องให้จิ้งเฟย ก็เพื่อเข้าใกล้แม่ทัพใหญ่ที่คุมทหารประจำการสำนักช่าง
ทำไมสำนักช่างถึงสำคัญขนาดนี้ ต้องให้กรมข่าวกรองกับตระกูลหลิวลงทุนลงแรงถึงเพียงนี้ และทำไมสำนักช่างของราชวงศ์หนิงต้องมีทหารคัดเลือกสองพันนายไปประจำการ!
เดี๋ยวก่อน
เมื่อกี้ยังมีนักปราชญ์พูดว่า หากทหารม้าราชวงศ์จิ่งเข้าใกล้ด่านฉงหลี่ แม่ทัพราชวงศ์หนิงก็สามารถใช้ปืนใหญ่และอาวุธปืนขับไล่อีกฝ่ายได้
ในสมองของเฉินจี้ราวกับมีแสงสว่างเส้นหนึ่ง เชื่อมโยงเบาะแสทั้งหมดเข้าด้วยกัน
กรมข่าวกรองราชวงศ์จิ่งต้องการสูตรลับการผลิตอาวุธปืนของราชวงศ์หนิง!
นี่คือความจริงใจที่หัวหน้ากรมข่าวกรองเรียกร้องจากตระกูลหลิว!
ซึ่งตระกูลหลิวได้ร่วมมือกับหยุนเฟยแล้ว ได้อาวุธปืนมาแล้ว ถ้วยใบนั้นจึงไม่ใช่แค่หวังให้แท้งลูกทั่วๆ ไป…
เงื่อนไขความร่วมมือของหยุนเฟย เกรงว่าคือให้ตระกูลหลิวฆ่าจิ้งเฟยที่ไม่เชื่อฟัง ช่วยให้ตนเองขึ้นเป็นเฟยเอก เป็นการแสดงความจงรักภักดี
ไม่อย่างนั้นหยุนเฟยจะมายืนข้างตระกูลหลิวได้อย่างไร
...
...
ขณะกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น เฉินจี้ได้ยินคนในงานเลี้ยงถามเสียงดังว่า “พี่เวิ่นจง ตระกูลเฉินมีคนเก่งสองคน ปีนี้การสอบท้องถิ่นต่างก็มีลุ้นได้เจี้ยหยวน แต่ช่วงก่อนข้าได้ยินว่า พวกคุณยังมีน้องชายอีกหนึ่งคน ทำไมไม่เคยเห็นเลยล่ะ”
“ไม่ถูกนะ ข้าจำได้ว่า ท่านพ่อเคยถามท่านลุงเฉินว่าบ้านมีลูกกี่คน ตอนนั้นท่านลุงบอกว่า ลูกชายสองคนลูกสาวหนึ่งคน!”
เฉินจี้เงยหน้ามอง พี่ชายแท้ๆ สองคนของตนดุจมังกรหงส์ในหมู่คน เป็นจุดสนใจของเหล่าบัณฑิต เรื่องภายในครอบครัวจึงย่อมถูกจับตามองเช่นกัน
คนที่ถามเรื่องนี้ก่อนใคร ถามอย่างสงสัยว่า “พี่เวิ่นจง หรือว่าข้าฟังผิดไป?”
เฉินเวิ่นเสี้ยวด้านข้างเอ่ยขึ้นว่า “น้องชายของพวกเราความประพฤติไม่ดี ท่านพ่อจึงถือว่าตระกูลเฉินไม่มีเขา”
ชายอ้วนหัวโตหูใหญ่เกิดความสนใจ “เห? หรือว่ายังมีเรื่องลับซ่อนเร้น?”
เฉินเวิ่นจงเหลือบตาดุเฉินเวิ่นเสี้ยว “นี่เป็นเรื่องอื้อฉาวของครอบครัว อย่าพูดถึงอีก”
เฉินเวิ่นเสี้ยวกลับแทบไม่แยแส ยังคงพูดต่อไปตามอำเภอใจ “น้องชายข้าเฉินจี้ ตอนเด็กก็หมกมุ่นในสถานเริงรมย์ ยังเป็นขาประจำบ่อนพนันในตรอกชุดแดง สามปีก่อน ท่านพ่อเดิมตั้งใจจะให้เขาไปเรียนหนังสือที่สำนักตงหลินด้วย แต่ไม่นึกว่าบ่อนพนันจะถือสัญญากู้มาทวงหนี้พนัน ถึงหกร้อยตำลึงเต็มๆ!”
“อะไรนะ?”
“หกร้อยตำลึง!”
เฉินเวิ่นจงขมวดคิ้วมองไปทางเฉินเวิ่นเสี้ยว “อย่าพูดอีกเลย ทำให้ชื่อเสียงวงศ์ตระกูลของเราเสื่อมเสียเปล่าๆ ชาวบ้านจะเอาไปหัวเราะนินทาได้!”
เฉินเวิ่นเสี้ยวหยิบจอกเหล้าขึ้นมาอย่างไม่ถือสา ดื่มเหล้าไปหนึ่งอึก “เจ้าหนุ่มนั่นความชั่วยาวเป็นหางว่าว ปิดเท่าไรก็ปิดไม่มิดหรอก พี่ชายอย่าหลอกตัวเองเลย”
เขามองไปทางทุกคนแล้วเอ่ยปาก “หลังจากท่านพ่อทราบเรื่องนี้ ก็สั่งให้พ่อบ้านพาคนรับใช้ไปสืบ ผลปรากฏว่า เขาไม่เพียงแต่เป็นหนี้พนันบ่อนนั้นแห่งเดียว ในตรอกชุดแดงมีบ่อนพนันรวมหกแห่ง เขาเป็นหนี้ทุกแห่ง”
“แล้ว?”
“แล้ว? ท่านพ่อจะตีเขาให้ตายคาที่ แต่ท่านแม่ข้าใจอ่อนห้ามไว้ บอกว่าให้หาอาชีพให้เขาไปเสี่ยงตายเอง ทีแรกท่านแม่ส่งเขาไปเป็นลูกจ้างที่ร้านยา ภายหลังเขาบ่นว่า เป็นลูกจ้างร้านยาเหนื่อยเกิน จึงขอร้องท่านแม่ช่วยบริจาคเงิน ส่งไปเป็นเด็กฝึกที่โรงยา ปัจจุบันไม่ทราบเป็นตายร้ายดี”
ระหว่างงานเลี้ยง มีคนรำพึงว่า “จิ๊ๆ ดันมีผีพนันเกิดในบ้านเสียได้ ครอบครัวอับโชคก็แบบนี้แหละ”
แต่ทันใดนั้น พวกเขาได้ยินเสียงดังปัง แล้วเห็นเซ่อเติงเค่อพลิกโต๊ะลุกขึ้น “พูดจาปากสุนัข! เฉินจี้ไม่ใช่คนแบบนั้น เขาไม่ใช่ผีพนัน ไม่ใช่พวกกินแล้วนอนด้วย!”
อาหารบนโต๊ะหกเรี่ยราดเต็มพื้น พร้อมกับเหล้าที่สาดใส่ตัวบัณฑิตโต๊ะหน้า
ทุกคนมองไปทางเซ่อเติงเค่อ เฉินเวิ่นเสี้ยวมองไปทางโอรสอ๋องอย่างสงสัย “โอรสอ๋อง ท่านนี้คือ?”
โอรสอ๋องก็ค่อนข้างฉงน นี่ไม่ใช่คนที่ตนเชิญมานี่
เซ่อเติงเค่อแนะนำตัวว่า “ข้าคือเซ่อเติงเค่อเด็กฝึกของโรงยา เรียนด้วยกันกับเฉินจี้สองปี เขาไม่ใช่คนแบบที่ท่านพูดอย่างแน่นอน!”
เฉินเวิ่นเสี้ยวหรี่ตา “เฉินจี้เป็นน้องชายข้า ข้าแน่นอนย่อมรู้จักเขามากกว่า”
เซ่อเติงเค่อโกรธจนหน้าแดงก่ำ “ท่านจะไปรู้จักอะไร...”
“เติงเค่อ (สอบติด)? เจ้าสอบได้จิ้นสื่อ* หรือสอบได้จอหงวนล่ะ? ฮ่าๆๆ!” ทันใดนั้นมีคนหัวเราะขึ้น “ตั้งชื่อยิ่งใหญ่แบบนี้ ทำไมไม่ไปเข้าสอบราชการ กลับไปเป็นเด็กฝึกที่โรงยา?”
(จิ้นสื่อ — ผู้สอบผ่านในสนามสอบหน้าพระพักตร์; อันดับ 1 ของจิ้นสื่อจะถูกเรียกว่า [จอหงวน])
“อีกอย่างชุดเสื้อผ้าฝ้ายนี้ กล้าดีอย่างไรมาเข้าร่วมชุมนุมบัณฑิต?”
หลิวฉวีซิงก็ไม่ทนฟังแล้ว ลุกขึ้นยืนทันที พูดอย่างโกรธเคือง “สวมเสื้อผ้าอะไร แล้วเกี่ยวอย่างไรกับชุมนุมบัณฑิต? พวกเรารู้จักกับเฉินจี้มาสองปี เขาไม่ใช่คนแบบที่พวกท่านพูดแน่นอน”
“โฮ่? พวกเจ้าดูเขาสิ สวมใส่อาภรณ์ดูดีพอควร แต่ดูจากหมวกทรงกระเบื้องนั่น ไม่เหมือนของที่ร้านหลี่จี้ทำเลยนะ กลับเหมือนของเลียนแบบห่วยๆ มากกว่า”
หลิวฉวีซิงพูดไม่ออก เขาซื้อของเลียนแบบราคาถูกมาจริงๆ
แต่ทันใดนั้น กลับเห็นไป๋หลี่ธิดาอ๋องลุกขึ้นยืนถามเสียงดังว่า “อาจารย์สำนักสอนพวกท่านให้ตัดสินคนจากภายนอกหรือ? เขาสวมอะไรทำอะไร มีอะไรเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เขาพูด? ท่านทั้งหลายน่าจะไม่เคยเจอเฉินจี้นั่นกระมัง? ข้าเองก็ไม่เคยเจอ แต่สองคนนี้ถึงกับยอมเดิมพันหน้าตาเพื่อช่วยพูดแทน ในสายตาข้า เฉินจี้น่าจะไม่แย่เกินไปนัก”
โอรสอ๋องหัวเราะเสียงดัง “ไป๋หลี่พูดมีเหตุผล ข้าขอถามท่านทั้งหลาย หากมีคนใส่ร้ายท่านข้างนอก จะมีสักหนึ่งคนมาแก้ต่างให้ท่านไหม? ข้างกายท่านทั้งหลาย มีเพื่อนแบบนี้หรือไม่?”
พูดไปพลาง โอรสอ๋องก็ยกจอกขึ้นไกลๆ ยื่นไปทางเซ่อเติงเค่อกับหลิวฉวีซิง “นับถือ รวดเดียวหมดจอก!”
(จบตอน)
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น