ตอนที่ 0046 ศิลปะ



ในงานเลี้ยง  ทุกคนต่างเงียบกริบ  แม้แต่เสียงดีดพิณก็ขาดหายไป


พวกเขาไม่อาจเยาะเย้ยชื่อและการแต่งกายของเซ่อเติงเค่อกับหลิวฉวีซิงได้อีก  พลางไตร่ตรองว่า  หากตนเองถูกใส่ร้าย  จะมีสักกี่คนที่ยอมออกมาแก้ต่างให้?


คนทั่วไปเมื่อได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับท่าน  ก็เพียงแต่เอาคำพูดสองสามคำของผู้อื่นมาบอกต่อให้ท่านฟัง


แต่ตัวท่านอาจไม่ใส่ใจว่าผู้อื่นจะพูดอย่างไร  ท่านอาจใส่ใจมากกว่าว่า  เมื่อผู้อื่นพูดข่าวลือเกี่ยวกับท่าน  เพื่อนของท่านได้แก้ต่างแทนบ้างหรือไม่


เฉินจี้นึกไม่ถึงว่า  เซ่อเติงเค่อกับหลิวฉวีซิงจะออกหน้าแทนตน  เพราะไม่คาดคิดนี่เอง  จึงรู้สึกประหลาดใจ


ขณะนี้  โอรสอ๋องดื่มเหล้าในจอกหมดรวดเดียว  จอกเหล้าในจวนอ๋องค่อนข้างเล็ก  เขารู้สึกไม่จุใจ  จึงคิดจะเรียกคนมาเปลี่ยนเป็นชามเหล้าใบใหญ่กว่า


แต่ถูกไป๋หลี่ธิดาอ๋องถลึงตามอง  จึงต้องล้มเลิกความคิดนั้นไป


กลิ่นอายยุทธภพ  ย่อมไม่เข้ากับการชุมนุมบัณฑิตอย่างแน่นอน


เพียงแต่  โอรสอ๋องบ่นกับตัวเองแผ่วเบา  “พวกบัณฑิตนี่  ท้ายที่สุดแล้วก็ไม่น่าสนใจเท่าคนยุทธภพ...ชื่อเฉินจี้ฟังคุ้นหูนิดหน่อย  เหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน?”


ตอนนี้  ไป๋หลี่ธิดาอ๋องมองไปที่เฉินเวิ่นเสี้ยว  “ขอถามหน่อย  ตั๋วเงินกู้ของน้องชายท่าน  เป็นเรื่องจริงหรือไม่?”


เฉินเวิ่นเสี้ยวเก็บแขนเสื้อ  นั่งตัวตรง  “น้องชายข้า  เฉินจี้  ติดการพนัน  เป็นหนี้บ่อนการพนันเจ็ดแห่งรวมหนึ่ง 1,231 ตำลึงเงิน  ทุกประโยคข้างต้นเป็นความจริง”


บัณฑิตคนหนึ่งทำท่าคารวะให้ธิดาอ๋อง  “เวิ่นเสี้ยวเป็นคนมีคุณธรรม  ย่อมไม่โกหกในเรื่องนี้แน่นอน”


“เอาเถอะ”  ไป๋หลี่ธิดาอ๋องถอนหายใจ


เฉินจี้ยืนฟังเงียบงันข้างศาลา  เขาเองก็กำลังครุ่นคิดว่า  ตัวเองในอดีตเป็นคนแบบไหนกันแน่  ที่แท้ก็ผีพนันหรอกหรือ?


เป็นไปได้  เพราะตั๋วเงินกู้จากบ่อนการพนันล้วนปลอมแปลงไม่ได้  เรื่องแบบนี้ตรวจสอบได้ง่ายมาก


แต่เรื่องในอดีตย่อมไม่เกี่ยวข้องกับเขาแล้ว  มันผ่านไปแล้ว


จิ้งเฟยที่อยู่หลังม่านไม้ไผ่  มองมาทางเฉินจี้อย่างคลุมเครือ  “ครอบครัวของเจ้าไม่รู้หรือว่าเจ้าเป็นคนของกรมสืบลับ?”


เฉินจี้ตอบว่า  “กราบทูลท่านหญิง  ข้าไม่ใช่คนของกรมสืบลับ  อย่างมากก็แค่เหยี่ยวนกเขาของกรมสืบลับ  แม้แต่หน่วยสืบลับก็ไม่ใช่”


“อ้อ?”  จิ้งเฟยสงสัยบ้าง  “งั้นเจ้าเสี่ยงชีวิตให้กรมสืบลับเพื่ออะไร?”


เฉินจี้ตอบอย่างตรงไปตรงมา  “เพื่อเงิน  ช่วยพวกเขาหาเบาะแสหนึ่งครั้ง  ก็ได้ห้าสิบตำลึงเงิน”


จิ้งเฟยนิ่งไปชั่วครู่  “แค่ห้าสิบตำลึง?  เพื่อเงินห้าสิบตำลึง  เจ้าก็ยอมเสี่ยงชีวิตทำงานให้กรมสืบลับแล้ว?”


ตอนนี้  นางเชื่อคำพูดของเฉินเวิ่นเสี้ยวแล้ว  เด็กฝึกโรงยานี่เป็นผีพนันจริงๆ  เพื่อเงินถึงกับไม่รักชีวิตเลย


แต่เฉินจี้คิดในใจว่า  นี่คงเป็นความเหลื่อมล้ำของโลกกระมัง  ตัวเองทำงานอย่างหนักจนเหนื่อยเจียนตายถึงได้ห้าสิบตำลึง  แต่เงินเล็กน้อยเพียงนี้  ในสายตาจิ้งเฟยและหยุนเฟย  กลับไม่ใช่เรื่องอะไรเลย


จิ้งเฟยที่อยู่หลังม่านไม้ไผ่  ค่อยๆ เอนกายพิงบนเตียงนุ่ม  “ช่วยข้าแก้แค้น  ถ้าสำเร็จ  เจ้าจะได้หนึ่งพันตำลึงเงิน”


เฉินจี้คิดอยู่ครู่หนึ่ง  “ท่านต้องการให้หลิวหมิงเสี่ยนตาย?”


“ถูกต้อง”


“ข้างกายใต้เท้าหลิวมียอดฝีมือแฝงตัวอยู่  ปกติก็อยู่แต่ในบ้านไม่ค่อยออกไปไหน  การฆ่าเขาไม่ใช่เรื่องง่าย  ถ้าจะบอกให้พึ่งพากรมสืบลับ  หยุนหยางกับเจียวถู่ก็ถูกเขาจัดการไปแล้ว  ยิ่งยากขึ้นไปอีก... หากท่านต้องการแก้แค้น  ต้องห้าพันตำลึง”


“สองพันตำลึง  ไม่เพิ่มอีกแล้ว”


“ตกลง”


เฉินจี้ถอนหายใจโล่งอก  หาเงินกับคนรวยนี่ง่ายกว่าจริงๆ!


มีเงินสองพันตำลึงเงินติดตัว  เขาก็กล้าไปสำรวจคุกในอีกครั้ง  เก็บกระแสน้ำแข็งทั้งหมด  จุดเตาไฟนับร้อยเตา


ถึงตอนนั้น  ตราบใดที่ไม่มีสิงกวนออกมือ  หน่วยสืบลับธรรมดาสามคนห้าคนอย่าหวังจะทำอะไรข้าได้!


ขณะกำลังครุ่นคิด  จิ้งเฟยเอ่ยถามทันใด  “เจ้าว่าชุนหวาเป็นอย่างไร?  วัยสาวสะพรั่ง  ช่างน่ารักน่าชัง  แม้จะอายุมากกว่าเจ้าบ้าง  แต่รู้จักเอาอกเอาใจคน  ตอนแรกที่ซื้อนางมาจากแคว้นหยาง  ข้าเสียเงินไปตั้งหนึ่งร้อยตำลึง”


เฉินจี้รีบตอบ  “ท่านหญิงอย่าจับคู่ส่งเดชเลย  ให้เงินข้าก็พอแล้ว”


......


......


ในงานเลี้ยง


เฉินเวิ่นจงมองไปทางเซ่อเติงเค่อกับหลิวฉวีซิง  ถามอย่างสืบเสาะ  “พวกเจ้าเป็นเพื่อนร่วมงานของน้องชายข้าหรือ  ช่วงนี้เขาเป็นอย่างไรบ้าง?  วันนี้ได้มาด้วยหรือไม่?”


“มาแล้ว  ส่วนเขาเป็นอย่างไรช่วงนี้  ท่านเป็นพี่ชายทำไมไม่ไปถามเอง  มาถามข้าทำไม”  เซ่อเติงเค่อตอบอย่างเซื่องซึม


เฉินเวิ่นจงแสดงสีหน้าอึดอัด  “พูดได้ถูกต้อง”


เฉินเวิ่นเสี้ยวหน้าตึง  “เขาทำเรื่องแบบนั้นเอง  เราจะไปสนใจเขาทำไม?”


ราชวงศ์หนิงปกครองด้วยจริยธรรมขงจื๊อ  ระบบกษัตริย์-ข้าราชการ  บิดา-บุตร  เป็นระเบียบที่ควบคุมสังคมทั้งหมด  แต่แม้ทุกคนจะพูดกันติดปากว่า  มารดาเมตตา  บุตรกตัญญู  พี่ชายเป็นมิตร  น้องชายอ่อนน้อม  แต่ในโลกนี้จะมีพ่อแม่ที่ไม่ใช่บุพการีแท้ๆ  สักกี่คน  ที่มองลูกของอนุภรรยาเหมือนลูกในไส้ตัวเอง?


ก็แค่ทำเพื่อรักษาหน้าเท่านั้น


หลิวฉวีซิงกำลังจะอ้าปากโต้แย้ง  แต่กลับถูกใครบางคนตบไหล่  เขาหันไปมอง  เฉินจี้กลับมาที่งานเลี้ยงตั้งแต่เมื่อไรไม่ทราบ


เฉินจี้ทำท่าคารวะเฉินเวิ่นจงกับเฉินเวิ่นเสี้ยวจากระยะไกล  “พี่ชายทั้งสอง  วันนี้ได้พบกันอีกครั้งหลังจากแยกกันนาน  ไม่คิดว่าจะกลายเป็นแบบนี้……วันนี้เลิกแล้วต่อกันเถิด  อย่างไรนี่ก็เป็นชุมนุมบัณฑิตที่โอรสอ๋องจัด  อย่าไปรบกวนแขกท่านอื่นในงานชุมนุมบัณฑิตเลย”


ไป๋หลี่เห็นเฉินจี้ปรากฏตัว  ก็รีบดึงแขนโอรสอ๋อง  “พี่  ที่แท้ก็เขานี่เอง  คนที่เก็บค่าผ่านทางเรา  ช่วยตั้งบันไดให้เราคนนั้น  ถ้ารู้แต่แรกคงไม่ช่วยพูดแทนเขาแล้ว!”


โอรสอ๋องหัวเราะฮ่าๆ  “ข้ากลับคิดว่า  พวกเราไม่ได้ช่วยเปล่า  เจ้าไม่คิดว่าเขาน่าสนใจหรือ?  เขากล้าเก็บค่าผ่านทางแม้กระทั่งโอรสของจิ้งอ๋องเชียวนะ!”


ไป๋หลี่ทำปากยื่น  “เก็บครั้งละสามตำลึงเงิน  ใจดำจริงๆ  แต่ว่า……ถึงเขาจะเลวร้าย  แต่ข้ากลับไม่ยักรู้สึกว่าเหมือนผีพนัน”


โอรสอ๋องหัวเราะ  “ผีพนันต้องเป็นอย่างไรในสายตาเจ้า?”


ไป๋หลี่นึกย้อนไปคิด  “ข้าเคยเห็นตอนตามท่านไปบ่อน  ผีพนันในบ่อนทุกคนเสียสติ  ไม่สนใจเรื่องอื่นนอกจากการพนัน  ตาแดงก่ำเต็มไปด้วยเส้นเลือด  เสื้อผ้าสกปรก  ในซอกเล็บมีแต่ขี้ดิน...แต่เขาสะอาด  จิงชี่เสินเต็มเปี่ยม”


ผีพนันมีแต่การพนันในใจ  ตื่นมาก็เล่น  เล่นเสร็จก็นอน  จะมีเวลาไหนไปใส่ใจรูปลักษณ์ตัวเอง?


โอรสอ๋องพยักหน้า  “จริงอย่างที่ว่าไม่เหมือน  อย่าลืมสิ  สามเถรน้อยบอกเองว่า  เขาละความโลภและความโกรธได้แล้ว  ข้าเชื่อสามเถรน้อย”


“กลับตัวกลับใจได้ที่ไหนกัน?  ต่อให้เลิกพนันแล้ว  ก็ยังเลวร้ายอยู่ดี!”  ไป๋หลี่พูดอย่างหงุดหงิด


โอรสอ๋องหัวเราะปลอบโยน  “เอาน่าๆ  สามตำลึงเงินก็แค่เท่ากับแป้งผัดหน้าเจ้ากล่องเดียวเอง”


ขณะนั้น  เฉินเวิ่นจงเห็นเฉินจี้แล้วรู้สึกคุ้นหน้า


ในตอนนี้เอง  เฉินเวิ่นจงจึงนึกได้ว่า  เฉินจี้เคยจ้องมองตนในงานเลี้ยง  แต่ตัวเองกลับจำอีกฝ่ายไม่ได้


แน่นอน  ก็เพราะทุกคนไม่เคยสนิทกันมาก่อน  มารดาเตือนตนเสมอว่าอย่าไปคบหากับอีกฝ่าย


เฉินเวิ่นจงลุกขึ้น  “เมื่อครู่นี้เวิ่นเสี้ยวไม่ดี  ข้าขอรับผิดแทนเขา  อย่าไปถือสาหาความเลย”


เฉินจี้ยิ้มบางๆ  “ไม่เป็นไร  ปากอยู่บนตัวคนอื่น  จะพูดอย่างไรก็ห้ามไม่ได้”


เฉินเวิ่นจงกล่าว  “ช่วงนี้ท่านพ่ออยู่ที่บ้าน  ถ้าเจ้าว่างก็กลับไปทำหน้าที่ลูกกตัญญูบ้าง  เขาเห็นเจ้ากลับตัวกลับใจ  เรียนแพทย์อย่างขยันขันแข็ง  ย่อมดีใจแน่”


เฉินจี้ตอบ  “การเรียนที่โรงยาก็ยุ่งพอดู  ดังนั้น...ไม่ดีกว่า”


เขาไม่คิดจะกลับตระกูลเฉิน  แม้แต่ในอนาคตก็ไม่คิดจะกลับอีก  อย่างที่เขาบอกหมอเฒ่าเหยา  เขาถือว่าโรงยาเป็นบ้านจริงๆ แล้ว


เฉินจี้เข้าใจดี  บ้านมีลูกชายผีพนัน  สถานะมารดาก็น่าสงสัย  ย่อมไม่เป็นที่ต้อนรับ


เมื่อไม่เป็นที่ต้อนรับ  ก็เลิกไปมาหาสู่กันเสีย  จะได้ไม่ต้องมาเสแสร้งเล่นละคร


ขณะนั้น  ชายคนหนึ่งลุกขึ้นหัวเราะ  “ก็ตามที่ว่ากันมา  กษัตริย์-ข้าราชการ  บิดา-บุตร  จริยธรรมจารีตผิดเพี้ยนไม่ได้  บางที  เจ้าคงจะโกรธเคืองที่บิดาไม่ส่งเรียนสำนักตงหลิน  หรือโกรธที่เขาเมินเฉย  แต่เขาก็ยังเป็นบิดา  เจ้าก็ยังเป็นบุตร  หน้าที่กตัญญูที่ควรทำ  ก็ยังต้องทำ”


เฉินจี้มองใบหน้าอีกฝ่ายด้วยความสงสัย  “ท่านคือ?”


ผู้พูดรูปร่างหล่อเหลา  สวมชุดบัณฑิตสีน้ำเงิน  ศีรษะสวมหมวกขุนนางดำประณีต  เอวคาดสายหยก  ห้อยปี่หยกไว้กับสายคาด  มีค่าไม่น้อย


อีกฝ่ายได้ยินเฉินจี้ถาม  จึงตอบอย่างเย่อหยิ่งถือตัว  “สำนักตงหลิน  หลินเฉาจิง”


ราวกับว่าแค่เอ่ยชื่อนี้ออกมา  เฉินจี้ก็ควรรู้ว่าเขาเป็นใคร


แต่เฉินจี้ไม่ได้สนใจเรื่องนั้น  เขาเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า  เหตุใดตนถึงรู้สึกคุ้นหน้าอีกฝ่าย!


หลินเฉาจิงผู้นี้  หน้าตาละม้ายคล้ายหลินเฉาชิงแห่งกรมอาญาถึงแปดส่วน  คิดว่าถ้าไม่ใช่พี่น้องท้องเดียวกัน  ก็ต้องเป็นญาติใกล้ชิด


แต่เฉินจี้จำเสียงนี้ได้แม่นยำ  ก็เป็นหลินเฉาจิงคนนี้นี่เอง  ที่พูดว่าจะโจมตีพวกขันทีตอนสอบหน้าพระพักตร์...หลินเฉาชิงก็เป็นพวกขันทีคนหนึ่งไม่ใช่หรือ?


เขาไม่คิดมากอีก  เพียงตบไหล่หลิวฉวีซิงกับเซ่อเติงเค่อ  “พวกเราไปกันเถอะ  ที่นี่ไม่เหมาะกับเรา  ขอโทษที่ทำให้พวกท่านต้องมาถูกดูถูกเพราะข้า”


“อืม  ไปเถอะ”  หลิวฉวีซิงสูดจมูก


“เดี๋ยวก่อน”  หลินเฉาจิงเอ่ยเสียงดัง  “ท่านทั้งสามก็มาร่วมงานชุมนุมบัณฑิต  คิดว่าคงเป็นผู้มีปัญญาเลิศล้ำ  เมื่อครู่ทุกคนต่างนำผลงานใหม่มาอ่าน  ไม่ทราบว่าท่านทั้งสามมีผลงานอะไรมาบ้าง?”


เฉินจี้มองตรงไปยังหลินเฉาจิง  นิ่งเงียบไม่พูดจา


ผลงาน?  เขาไม่มีผลงาน


จะให้ลอกผลงานจากโลกเดิมมา?  เขาก็ลอกไม่ได้


เฉินจี้เรียนเฉพาะทางมาก  หลายปีมานี้มุ่งศึกษาแต่วิทยาศาสตร์  ความรู้วิทยาศาสตร์ทั่วไป  การสืบสวนและการต่อต้านการสืบสวน  แม้จะศึกษาศิลปศาสตร์บ้าง  ก็เรียนแต่วิชารหัสลับ


ดังนั้น  ให้เขาประดิษฐ์ดินปืนตอนนี้ไม่ใช่ปัญหาใหญ่  แต่ให้ท่องกลอนกวีนั้นยากเกินไป...


หากจะให้ท่องกวีจริงๆ คงท่องได้แต่วรรคโด่งดังที่สุดของแต่ละบท


อาทิ  ‘ฉางเฟิงผ่อหลางฮุ่ยโหย่วสื่อ  จื่อกวาหยุนฟานจี้ชางไห่’  ส่วนข้างหน้าข้างหลังเป็นอะไร  เขาคงนึกให้ออกเร็วๆ ไม่ได้


และที่สำคัญเหนืออื่นใด  ตำนานเทศกาลฉงหยางตรึงอยู่ในใจเฉินจี้  เขายังไม่รู้ว่าโลกนี้กับโลกของตนมีความเชื่อมโยงกันอย่างไร  หากท่องกลอนที่มีคนแต่งไว้แล้ว  ก็จะกลายเป็นเรื่องน่าขันไป


เดี๋ยวก่อน!


ความคิดในสมองเฉินจี้พลันกระจ่าง  เสมือนเมฆหายท้องฟ้าแจ่มใส


หมอกควันก่อนหน้านี้มลายไปในพริบตา  ดินปืน?


ดินปืน!


ตนเองแม้จะไม่เก่งท่องกวี  แต่เขาทำดินปืนเป็น!


บทกวีเป็นศิลปะ  แล้วการระเบิดไม่ใช่ศิลปะหรือไร?


(จบตอน)


______________
ปัจจุบันแปลถึงตอน: 0061
ติดตามผู้แปล : www.facebook.com/bjknovel/
#พระเอกฉลาด #นิยายแฟนตาซี #qingshan

Previous Next

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตอนที่ 0001 กลับสู่ศูนย์

ตอนที่ 0007 บุพการี

ตอนที่ 0010 ตำหนักหวั่นซิง