ตอนที่ 0047 ชีวิตระหว่างฟ้าดิน



วิชาความรู้บางอย่าง  หากไม่มีใครชี้แจง  ต่อให้ลำบากแค่ไหนก็ไม่อาจรู้ได้ว่าคืออะไร  แต่พอมีคนชี้แจงแล้ว  กลับไม่มีอะไรพิเศษ  เช่น  สูตรดินปืน


ด้วยคาถาง่ายๆ ว่า  ‘หนึ่งดินประสิว  สองกำมะถัน  สามถ่านไม้  เติมน้ำตาลนิดระเบิดใหญ่’  ดินประสิว  กำมะถัน  ถ่านไม้  ใช้ตาชั่งทองแดงของยุคนี้ที่หนึ่งชั่งเท่ากับสิบหกตำลึง  ก็จะได้อัตราส่วน  16:2:3


การเติมน้ำตาลเพื่อเพิ่มปริมาณแก๊สขณะเผาไหม้  สูตรดินปืนนี้หากระเบิดในที่อับ  ก็ราวกับระเบิดนิวเคลียร์ขนาดย่อมในร่ม  แม้แต่สิงกวนอย่างหยุนหยางหรือสือเฉาก็คงรับไม่ไหว


กำมะถัน  โรงยามีอยู่แล้ว


ถ่านไม้  ก็ทำได้ง่าย


ที่เรียกว่าดินประสิว  ชื่อทางเคมีคือโพแทสเซียมไนเตรต  ความจริงแล้วก็คือคราบขาวบนผนังดิน  คนโบราณทำดอกไม้ไฟประทัดจึงต้อง  ‘ขุดรากฝาผนัง’  เพื่อหาดินประสิว


ปัจจุบันเมืองหลัวยังมีบ้านก่ออิฐผสมดินอยู่มากมาย  ในความทรงจำของเฉินจี้  คราบขาวบนผนังมีอยู่ทั่วไป


สูตรลับอาวุธไฟที่กรมข่าวกรองราชวงศ์จิ่งตามหาอย่างยากลำบาก  แทนที่จะไปหาตระกูลหลิว  ยังสู้มาหาเฉินจี้ไม่ได้!


แม้แต่แบบแปลนปืนบรรจุหน้าชนิดต่างๆ  สำหรับเฉินจี้แล้วจะยากอะไร?  ปืนบรรจุหน้าประกอบด้วยลำกล้องหน้า  ห้องดินปืน  และท้ายปืน  เล็กเท่าปืนมือ  ใหญ่เท่าปืนใหญ่ประตูเมือง  เฉินจี้ล้วนรู้จักพอสมควร...


แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือ  หลังจากเฉินจี้มาถึงที่นี่  ทุกครั้งที่พบบุคคลอย่างหยุนหยาง  เจียวถู่  สือเฉา  ล้วนถูกผู้อื่นบีบบังคับไปทุกที  ทั้งนี้เพราะเขาไม่มีความสามารถในการต่อต้าน


แต่ตอนนี้เขามีแล้ว


ชั่วอึดใจต่อมา  มีคนขัดจังหวะความคิดของเฉินจี้  “ข้าถามทั้งสามท่าน  มีผลงานอะไรบ้าง?  ไฉนถึงไม่ตอบเสียที?”


หลิวฉวีซิงกับเซ่อเติงเค่อมองหน้ากันงงๆ  ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี  สุดท้ายแล้วที่นี่เป็นชุมนุมบัณฑิต  ตัวเองไม่มีผลงานอะไรเลยแล้วมากินฟรีดื่มฟรี  ย่อมไม่เหมาะสมจริงๆ


ทว่าเฉินจี้กลับยิ้มกว้างทันใด  “พวกเราแค่ถือบัตรเชิญที่จวนอ๋องให้โรงยามากินฟรีดื่มฟรี  ไม่ถนัดทางนี้หรอก  ทุกท่านสนุกกันต่อเถอะ  พวกเราขอตัวก่อน  พี่เซ่อ  พี่หลิว  ได้ยินจางเกอลูกจ้างร้านอาหารตรงข้ามโรงยาบอกว่า  ถนนเจิ้งเหอข้างๆ มีร้านมู่ซิน  ทำบะหมี่มีดปาดอร่อยมาก  ข้าเลี้ยงเอง”


พูดจบเขาก็หันหลังจากไป  ไม่มีสีหน้าอับอายแต่อย่างใด  เป็นก็เป็น  ไม่เป็นก็ไม่เป็น  ไม่จำเป็นต้องฝืนทำเพื่อรักษาหน้า


ทุกคนต่างมีความถนัดเฉพาะทาง  เจ้าเข้าใจศิลปะ  ข้าก็เข้าใจศิลปะ...ศิลปะของข้า  อาจส่งศิลปะของเจ้าไปอีกโลกหนึ่งก็ได้


เฉินเวิ่นจงกับเฉินเวิ่นเสี้ยวมองแผ่นหลังของเฉินจี้ที่สงบเรียบง่ายและพอใจในตัวเอง  พูดคุยหัวเราะกับเพื่อนๆ  ดูเหมือนไม่ได้รับผลกระทบจากชุมนุมบัณฑิตเลย  และไม่ได้ใส่ใจเรื่องเมื่อครู่


เขารู้สึกทันใดว่า  เฉินจี้ไม่ได้พูดด้วยอารมณ์  แต่น้องชายคนนี้ไม่เคยคิดจะกลับตระกูลเฉินจริงๆ


ชื่อเสียงอันสูงส่งรุ่งโรจน์ของตระกูลเฉิน  ไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนปรารถนาหรอกหรือ  ไฉนจึงมีคนยอมสละทิ้งเอง?


ระหว่างงาน  ไป๋หลี่ธิดาอ๋องมองไปยังโอรสอ๋อง  “พี่เชิญเขามาหรือ?”


“ไม่ใช่”  โอรสอ๋องส่ายหน้า  “ข้าไม่เห็นจำได้ว่าเคยส่งบัตรเชิญให้โรงยา...แต่ก็ไม่สำคัญหรอก!”


ไป๋หลี่ธิดาอ๋องครุ่นคิดครู่หนึ่ง  แล้วก็ลุกขึ้นทันที  “ที่นี่ไม่สนุก  ข้าจะออกไปเดินเล่น!”


โอรสอ๋องมองแผ่นหลังน้องสาวอย่างลังเล  “เจ้า...”


......


......


ระหว่างทางกลับ


“พี่เซ่อ  เหตุใดจึงออกหน้าแทนข้า?’  เฉินจี้ถามอย่างสงสัย


เซ่อเติงเค่อเดินอยู่บนถนน  ร่างสูงใหญ่กลับดูไม่กำยำนักเพราะก้มหน้า  เขาพูดเสียงเบา  “เมื่อวานเกือบทำร้ายเจ้า  ต้องขอโทษจริงๆ  ตอนนั้นข้าเสียสติ  มิตรภาพสองปีของเรา  ถูกข้าทำลาย  ข้าสมควรตายจริงๆ”


เฉินจี้ถามต่อ  “ตอนนั้นท่านทำเพียงเพื่อช่วยชีวิตชุนหวาเท่านั้นหรือ?”


“ก็มีเรื่องส่วนตัวด้วย  ชุนหวาบอกว่าถ้างานนี้สำเร็จ  นางจะไปขอจิ้งเฟยยกนางให้ข้า  หลังจากนั้นเราสองคนจะใช้ชีวิตอย่างสงบสุข”


หลิวฉวีซิงประชดประชัน  “ชุนหวาพูดอะไรเจ้าก็เชื่อหมด  บ้านเจ้าจนขนาดนั้น  นางจะยอมทิ้งความมั่งคั่งในจวนอ๋องมาอยู่ด้วยหรือ?”


เซ่อเติงเค่อโต้กลับ  “นางไม่ใช่คนแบบนั้น...เฉินจี้  เรื่องนี้อย่าไปบอกพี่ชายกับพ่อข้านะ  พวกเขารู้เข้าต้องฆ่าข้าตายแน่”


“วางใจเถอะ  ไม่บอกหรอก”  เฉินจี้ยิ้ม


หลิวฉวีซิงข้างๆ รู้สึกหงุดหงิดบ้าง  “ไม่รู้พ่อข้าคิดอะไร  ตั้งชื่อนี้ให้ข้า  ข้าก็ไม่เอาไหนจริงๆ ดาวเทพวรรณกรรมลงมาเกิดแล้วทั้งที  ทำไมถึงอ่านคัมภีร์ไม่รู้เรื่องเลย  ตอนนี้ออกไปข้างนอกแนะนำตัว  อายที่จะบอกชื่อตัวเองแล้ว”


(*ฉวีซิง = เพลงดาว)


เช้าเป็นชาวนา  เย็นขึ้นโถงจักรพรรดิ  นี่คือความฝันสูงสุดของบัณฑิตราชวงศ์หนิง


แต่นั่นไม่ใช่ความฝันของเฉินจี้


ความฝันของเขาคืออะไร?  เขาเคยฝันจะเป็นนายทหารการทูต  แต่ทั้งราชวงศ์หนิงและราชวงศ์จิ่งไม่คู่ควรให้เขาสละชีพ  ดังนั้นตอนนี้เขาจึงไม่มีความฝันแล้ว


ไม่มีคนที่อยากปกป้อง  ไม่มีสถานที่ที่อยากรักษา  ทำได้แค่ป้องกันตัวเองอย่างฝืนๆ  ถูกกระแสยุคสมัยผลักดันให้เดินไปข้างหน้า


วันนี้  คำว่าดินปืนและเมล็ดกระบี่ต่างสร้างแรงดึงดูดต่อเขา


เมื่อสองสิ่งนี้วางบนตาชั่ง  บางที  ตาชั่งแห่งโชคชะตาก็อาจเอียงมาทางเขา


ขณะกำลังครุ่นคิด  มีเสียงตะโกนจากข้างหลัง  “เฉินจี้!”


เฉินจี้หันกลับไปมอง  เห็นไป๋หลี่ธิดาอ๋องวิ่งตามมา  ยังคงแต่งกายองอาจสง่า  ที่ไม่เปลี่ยนคือชุดขาวกับเครื่องประดับสีแดง


อย่างไรก็ดี  วันนี้นางรวบผมเป็นมวยรูปเมฆประดับด้วยเส้นเงิน  ใต้มวยผมคาดด้วยสร้อยประดับไข่มุก  ระหว่างเดินก็เอนไปเอนมา


เฉินจี้ถามอย่างสงสัย  “ธิดาอ๋องมีธุระอะไรหรือ?”


ไป๋หลี่ไม่บอกเหตุผล  เพียงโบกมือ  “ไป!  ข้าจะเลี้ยงข้าวพวกเจ้าที่ถนนเจิ้งเหอ  กินบะหมี่มีดปาดที่เจ้าพูดถึงนั่นแหละ!”


พูดจบ  ไป๋หลี่ก็เอามือไพล่หลังเดินนำหน้าไป  ฝีเท้าเขย่งๆ อย่างอิ่มอกอิ่มใจ  เฉินจี้มองดูรู้สึกเหมือนนางเป็นละมั่งอิสระตัวหนึ่ง


สามพี่น้องร่วมสำนักมองหน้ากัน  เฉินจี้พลันกล่าวว่า  “พวกท่านไปก่อนเถิด  ข้าจะกลับโรงยาไปเรียกเหลียงมาวเอ๋อร์ก่อน...”


สองเค่อต่อมา  ภายในร้านบะหมี่มีดปาด  ไป๋หลี่ธิดาอ๋องเอาแขนวางบนโต๊ะค้ำคาง  ตาค้างอ้าปากหวอ  มองชามถ้วยที่ซ้อนสูงตระหง่านหน้าเหลียงมาวเอ๋อร์  “ห้าชาม  หกชาม  เจ็ดชาม...เฉินจี้  เจ้านี่ช่างไร้ยางอายเสียจริง!”


เฉินจี้หันไปยิ้มให้เหลียงมาวเอ๋อร์  “คืนนี้กินอิ่มแล้ว  พรุ่งนี้เช้าอย่ากินมากขนาดนี้อีกนะ”


เหลียงมาวเอ๋อร์มองไปทางไป๋หลี่อย่างเกรงใจ  “ธิดาอ๋อง...ข้ากินมากเกินไปหรือเปล่า?”


เฉินจี้กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง  “ธิดาอ๋องมีใจเมตตา  พวกเราล้วนเป็นลูกหลานยุทธภพ  เหตุใดจะรังเกียจที่ท่านกินมาก?”


“ไม่เป็นไรๆ  ชามเกี๊ยวละไม่กี่เงินเอง!”  ไป๋หลี่ทำหน้าขมขื่นหยิบถุงเงินออกมา  “แต่เจ้าก็กินเยอะเกินไปแล้ว...มิน่าเล่า  เมื่อคืนทุกคนต่างดื่มสุรา  มีแต่เจ้าที่นั่งก้มหน้ากินอย่างเมามัน”


เหลียงมาวเอ๋อร์อธิบายอย่างเก้อเขิน  “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน  ตั้งแต่เด็กก็กินเก่ง  ตอนพี่ข้าอายุสิบขวบ  ข้าอายุสามขวบ  ปรากฏว่าข้ากินมากกว่าเขาเสียอีก”


ไป๋หลี่ไม่ถือสาเรื่องนี้อีก  ในเมื่อเชิญแขกแล้วก็ต้องเชิญอย่างเอิกเกริก


นางจ่ายเงินค่าอาหารแล้วหันมามองเฉินจี้อย่างสงสัย  “ก่อนหน้านี้  พวกเขาพูดถึงเจ้าแบบนั้นในชุมนุมบัณฑิต  เจ้าไม่โกรธเลยหรือ?”


“ไม่มีอะไรต้องโกรธ”


“ข้าช่วยเจ้าพูดแล้วนะ  ต่อไปจะไม่เก็บค่าผ่านทางจากข้าได้ไหม?”


“ไม่ได้”


ไป๋หลี่โกรธขึ้นมา  “ต่อไปจะไม่ช่วยเจ้าพูดอีกแล้ว  ปล่อยให้พวกเขาด่าเจ้าจนเหม็นเน่าไปเลย!”


เฉินจี้ยิ้ม  “พวกเขาจะพูดอย่างไรก็ตามใจ  แต่กาลเวลาจะพิสูจน์ทุกสิ่ง”


หลิวฉวีซิงด้านข้างพลันเอ่ย  “เฉินจี้  ที่จริงเจ้าแต่งกลอนเป็น  ข้าเคยเห็น”


“อืม?”  เฉินจี้ชะงักไป


หลิวฉวีซิงกล่าวเสียงแผ่ว  “ข้าเห็นเจ้าแอบอ่านหนังสือตอนกลางดึก  คัดลอกอะไรบางอย่างไว้หลังใบสั่งยา  พอเจ้าหลับข้าก็แอบไปดูว่าเจ้าคัดลอกอะไร  ผลปรากฏว่าเห็นกลอนครึ่งบท”


ไป๋หลี่สงสัย  “เขียนว่าอะไร?”


“ชีวิตคนระหว่างฟ้าดิน  ฉับพลันประดุจผู้เดินทางไกล”


ไป๋หลี่รู้สึกเพียงว่า  ครั้นกลอนครึ่งบทนี้อ่านออกมา  นางดุจเดินเพียงลำพังบนภูเขาหิมะขาวโพลน  แสงอาทิตย์อัสดงปกคลุม  ช่างเปล่าเปลี่ยวเดียวดายเหลือหลาย


วันนั้นเฉินจี้ตื่นขึ้นจากแสงอัสดง  ถนนผู้คนพลุกพล่าน  แต่ตนที่รอคอยกลับไม่ได้พบครอบครัว  ยามราตรีจึงเขียนกลอนบทหนึ่งอย่างลวกๆ  แต่กลับถูกหลิวฉวีซิงเห็นเข้า


ไป๋หลี่ค่อยๆ หันมองเฉินจี้  “นี่เจ้า...”


ยังไม่ทันที่นางจะพูดจบ  ด้านหลังก็มีศีรษะโผล่ออกมาอย่างน่าตกใจ  “เฉินจี้  นี่เป็นกลอนของเจ้าหรือ?  ในเมื่อเจ้าแต่งเป็น  เหตุใดเมื่อครู่ในชุมนุมบัณฑิตจึงไม่กล่าว?”


เฉินจี้ก็นิ่งงันไป  กลับเห็นว่าโอรสอ๋องกับสามเถรน้อยอยู่ข้างหลัง  ตัวเอกของชุมนุมบัณฑิตผู้นี้  ไม่รู้ว่าแอบหนีออกมาตั้งแต่เมื่อใด  ช่างมักง่ายเสียนี่กระไร!?


ยิ่งไปกว่านั้น  เขายังรู้สึกแปลกประหลาด  โลกนี้ไม่มีกลอนบทนี้หรือ?  ทั้งที่ตำนานเทศกาลฉงหยางก็เหมือนกันทุกประการ


เขาตอบด้วยใบหน้าที่พยายามข่มให้นิ่ง  “กลอนครึ่งบทนี้ได้มาโดยบังเอิญ  หากต้องการบทเต็มนั้นไม่มี  อีกอย่างข้าก็ไม่คิดจะเดินสายนี้  กวีนิพนธ์มิใช่เป้าหมายของข้า”


โอรสอ๋องอึ้งอยู่นาน  ทันใดก็ยิ้มอย่างเขินอายพลางขยี้มือ  “เรื่องนั้น…เจ้ากำลังร้อนเงินไม่ใช่หรือ  กลอนครึ่งบทนี้ขายให้ข้าได้ไหม?”


เฉินจี้:  อ้าว?


โอรสอ๋องอธิบาย  “อยู่ที่สำนักตงหลินมาสามปีนี้  ข้าแทบอึดอัดตาย  พวกนักปราชญ์แต่งกลอนวันละบท  เห็นดอกบัวก็แต่งบทหนึ่ง  เห็นแสงจันทร์ก็แต่งอีกบท  ส่วนข้าแม้แต่ผายลมยังไม่มีเลย  ข้ารู้ว่านักปราชญ์หลายคนพูดลับหลังว่า  ข้าเป็นโอรสอ๋องถุงฟาง  เลยอยากแต่งกลอนสักบทมาข่มพวกเขา  แต่แต่งไม่ออกจริงๆ...เอาอย่างนี้ดีไหม  กลอนครึ่งบทของเจ้าเก่งพอแล้ว  สิบตำลึงเงินขายให้ข้า  ข้าได้หน้าได้ตา  เจ้าได้เงิน  เป็นอย่างไร?”


“ตกลง!”


แต่งกลอนไม่จำเป็น  แต่หากขายกลอนครึ่งบท...ก็ได้อยู่


(จบตอน)


______________
ปัจจุบันแปลถึงตอน: 0063
ติดตามผู้แปล : www.facebook.com/bjknovel/
#พระเอกฉลาด #นิยายแฟนตาซี #qingshan

Previous Next

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตอนที่ 0001 กลับสู่ศูนย์

ตอนที่ 0007 บุพการี

ตอนที่ 0010 ตำหนักหวั่นซิง