ตอนที่ 0048 จินจู



ภายในร้านบะหมี่  เตาไฟขนาดใหญ่ตั้งหม้อยักษ์พ่นไอน้ำขาวโขมง


อาจารย์ผู้ปาดบะหมี่  ยกก้อนแป้งขึ้นบ่าข้างหนึ่ง  อีกมือหนึ่งควงมีดปาดไม่หยุดหย่อน  ท่วงท่าราวกับนักดาบแห่งยุทธภพที่ซ่อนตัวอยู่ในหมู่ราษฎร


เส้นบะหมี่แผ่นบางหนาพอดิบพอดี  พุ่งดิ่งลงหม้อน้ำเดือด


ตักใส่ชาม  ราดด้วยเนื้อวัวชิ้นโตชุ่มน้ำแกงร้อนๆ  แม้เรียบง่ายแต่อร่อยล้ำ


ควันไฟจากเตาคือกลิ่นอายของชีวิตชาวบ้านที่แสนธรรมดา


โอรสอ๋องโบกมือเรียกพนักงานร้าน  “เจ้าหนู  ขอบะหมี่มีดปาดหนึ่งชาม”


เด็กเสิร์ฟจดจำได้  จึงรีบยิ้มตอบ  “ได้ขอรับ  ท่านโอรสอ๋อง  กรุณารอสักครู่!”


เฉินจี้แปลกใจ  “ท่านโอรส  เด็กเสิร์ฟที่นี่รู้จักท่านด้วยหรือ”


โอรสอ๋องนั่งลงข้างโต๊ะไม้ในร้าน  ใช้แขนเสื้อผ้าเนื้อดีเช็ดโต๊ะอย่างไม่ถือตัว  “ก่อนไปสำนักตงหลิน  ข้าแวะมาบ่อย  พอไปอยู่สำนักก็คิดถึงรสชาติของที่นี่”


“ท่านเป็นถึงโอรสอ๋อง  เหตุใดจึงมากินที่ร้านบะหมี่เล็กๆ  แบบนี้”


โอรสอ๋องหยิบตะเกียบจากกระบอกไม้บนโต๊ะ  “ในจวนอ๋อง  อาหารจากครัวกว่าจะมาถึงห้องต้องใช้เวลาหนึ่งก้านธูป  พออาหารมาวางตรงหน้าก็เย็นชืดแล้ว  ตอนเด็กข้าบอกว่าอยากไปกินที่ครัว  พวกเขาก็ว่าข้าไม่รู้กาลเทศะ……ไม่เหมือนที่นี่  บะหมี่ยังร้อนฟุ้งๆ  ใส่น้ำส้มสักหน่อย  บีบกระเทียมสองกลีบ  กินแล้วสบายท้อง”


“ดูเหมือนพนักงานร้านจะไม่ถือว่าท่านเป็นโอรสอ๋องเลยนะ”


“ฮ่าๆ”  โอรสอ๋องหน้าระรื่น  “พ่อข้าสอนให้พวกเราเมตตาต่อผู้คน  อย่าถือตัวว่ามีศักดิ์สูงกว่าใคร  เจ้าไม่เห็นหรือว่า  ชาวบ้านแถวนี้ชอบข้ากันทุกคน  นี่คือชื่อเสียงที่พ่อข้าสั่งสมมาสิบกว่าปีในเมืองหลัวยังไงล่ะ!”


เฉินจี้หยุดซักไซ้  โอรสอ๋องและจิ้งอ๋องเช่นนี้  ในโลกที่คนถูกแบ่งชนชั้น  นับว่าไม่ธรรมดาจริงๆ


พนักงานยกบะหมี่มีดปาดมาวางบนโต๊ะ  โอรสอ๋องถูตะเกียบ  พลางเทน้ำส้มลงชาม  พลางหันไปมองไป๋หลี่  “ไป๋หลี่  จ่ายให้เขาสิบตำลึงเงิน  กลอนครึ่งบทนั้นเป็นของข้าแล้ว...ไป๋หลี่?”


ไป๋หลี่สะดุ้งตื่น  “มีอะไรหรือ?”


โอรสอ๋องถามด้วยความสงสัย  “เจ้าคิดอะไรอยู่  ถึงได้เหม่อลอยไปเลย”


“อ้อ”  ไป๋หลี่ตอบ  “ข้ากำลังคิดถึงกลอนครึ่งบทที่เฉินจี้พูดเมื่อครู่...ข้าก็บอกไม่ถูกว่ามันดีตรงไหน  แต่รู้สึกว่ามีอรรถรสลึกซึ้ง”


โอรสอ๋องหัวเราะ  “งั้นเราก็เหมือนกัน  ข้าก็รู้สึกว่าดี  แต่บอกไม่ถูกว่าดีตรงไหน  จ่ายเงินเถอะ”


ธิดาอ๋องไป๋หลี่เหลือบมองเฉินจี้  คราวนี้ไม่ทำท่าไม่เต็มใจ  นางเปิดถุงผ้าออก  หยิบเหรียญทองรูปเมล็ดแตงออกมาหนึ่งเหรียญ  “รับไป  ทองแท้น้ำหนักเต็ม  ไปแลกที่โรงรับจำนำได้สิบตำลึงเงิน”


เฉินจี้รู้สึกขบขัน  ในถุงผ้าของธิดาอ๋องไป๋หลี่  หากไม่ใช่เหรียญทองรูปเมล็ดแตงก็เป็นเหรียญเงินรูปถั่ว  ล้วนเป็นของที่กินได้ทั้งนั้น


โอรสอ๋องมองมาที่เขา  ถามด้วยความอยากรู้  “ยังมีกลอนบทอื่นอีกไหม  เอามาขายให้ข้าหมดเลย  จะเก็บไว้ใช้”


“เอาไปทำอะไรมากมายนัก?”  เฉินจี้งุนงง


โอรสอ๋องหัวเราะ  “เจ้าไม่รู้หรอก  ครั้งละบทสองบทมันไม่สะใจ  ต้องครั้งละสิบบท  ร้อยบท  ถึงจะทำให้พวกนักปราชญ์ตะลึงได้”


เฉินจี้ครุ่นคิด  “กวีนิพนธ์ที่ดีมักเกิดขึ้นเอง  ได้มาโดยบังเอิญ  การแต่งกลอนไม่ใช่เรื่องง่าย  ต้องอดทนรอ”


หากจะท่องกลอนทั้งบท  เขาก็ท่องได้แค่  ‘ห่านๆๆ’  ‘คิดถึงบ้านคืนเงียบ’  ‘สงสารชาวนา’...แต่ถ้าเป็นครึ่งบทก็มีเยอะ


ผ่านการศึกษาภาคบังคับเก้าปีมา  อย่างน้อยก็ต้องรู้บ้างสักสามสี่สิบประโยค


แต่คราวเดียวปล่อยออกมาเยอะไม่ได้  ปล่อยมากเกินไป  มันจะไม่มีค่า...


โอรสอ๋องร้อนรน  “น่าจะมีที่เจ้าเคยแต่งไว้ก่อนหน้านี้อีกสิ  เอามาขายให้ข้าเถอะน่า!”


ธิดาอ๋องไป๋หลี่ด้านข้างกลับช่วยเฉินจี้พูด  “พี่  การแต่งกลอนไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก  รอให้เขามีบทดีๆ อีกค่อยว่ากัน  กลอนที่ฝืนแต่งน่ะ  มันไม่มีรสชาติหรอกน่า”


“ก็ได้”  โอรสอ๋องยังอิ่มอกอิ่มใจไม่หาย  พึมพำประโยค  ‘ชีวิตคนระหว่างฟ้าดิน  ฉับพลันประดุจผู้เดินทางไกล’  ยิ่งขบคิดยิ่งรู้สึกลึกซึ้ง


เมื่อคิดว่ากลอนนี้จะเป็นของตนแล้ว  เขารีบหยิบเหรียญเงินรูปถั่วจากถุงของไป๋หลี่กระแทกลงบนโต๊ะ  ตะโกนเสียงดัง  “เถ้าแก่  วันนี้ข้ามีความสุข  ลูกค้าที่มากินบะหมี่ในร้าน  ทุกคนข้าเลี้ยงหมด!”


เฉินจี้ชูคิ้ว  ไม่เคยเห็นโอรสอ๋องควักเงินจ่ายเองเลย  ให้ธิดาอ๋องไป๋หลี่จ่ายตลอด


มิน่าโอรสอ๋องไปไหนต้องพาธิดาอ๋องไป๋หลี่ติดตัวตลอด  คงเป็นเพราะจิ้งอ๋องกลัวท่านจะคบคนพาล  จึงไม่ให้เงินติดตัว  แล้วท่านก็เลยต้องพึ่งกระเป๋าเงินของน้องสาว


เป็นไปได้  เป็นไปได้มาก!


มองแบบนี้แล้ว  โอรสอ๋องเป็นเศรษฐีปลอม  ธิดาอ๋องไป๋หลี่ต่างหากที่เป็นคุณหนูเศรษฐินีตัวจริง!


เซ่อเติงเค่อเตือน  “เฉินจี้  เราควรกลับได้แล้ว  เดี๋ยวร้านจะปิด  อาจารย์คนเดียวคงไม่ไหว”


“ได้”  เฉินจี้ลุกขึ้นคำนับลาพวกโอรสอ๋อง  “ท่านโอรส  ธิดาอ๋อง  พวกข้าขอตัวก่อน  ตอนกลางคืนจะเตรียมบันไดไว้ให้ทุกท่านล่วงหน้า”


โอรสอ๋อง  “...เยี่ยม  สมแล้วที่เป็นลูกหลานยุทธภพ!”


หลังจากเฉินจี้และพวกจากไป  ไป๋หลี่หันไปมองโอรสอ๋อง  “พี่ ข้ายิ่งรู้สึกว่าเขาไม่เหมือนผีพนันเลย”


“ใช่  ไม่เหมือนจริงๆ”  โอรสอ๋องหันไปมองสามเถรน้อยที่กำลังสวดมนต์เงียบๆ อยู่ด้านข้าง  “สามเถรน้อย  ท่านพ่อบอกว่าเจ้ามีฤทธิ์  ‘สื่อใจ’ คนอื่นได้  เจ้าว่าอย่างไร?”


สามเถรน้อยอมยิ้ม  “โยมเฉินจี้มีนิสัยชอบเสี่ยง  และเสี่ยงหนักมากด้วย  แต่สิ่งที่เขาเสี่ยงนั้นมิใช่เงินทอง  หากแต่เป็นชีวิต  คนเช่นนี้  เกิดมาเพื่อใช้ชีวิตบนคมดาบ”


ไป๋หลี่บ่นพึมพำ  “ยิ่งพูดยิ่งลึกลับ  สามเถรน้อย  เลิกนิสัยชอบพูดลอยๆ ทีเถอะ!”


สามเถรน้อยทำหน้าอ่อนใจ  “อาตมามิได้จงใจพูดลอยๆ  เพียงแต่ไม่รู้จะอธิบายให้ท่านทั้งสองเข้าใจได้อย่างไร”


ไป๋หลี่ไม่สนใจเขาอีกต่อไป  หันกลับไปมองโอรสอ๋อง  “พี่  แล้วทำไมพี่ถึงออกมาด้วยล่ะ?”


โอรสอ๋องกลืนบะหมี่ในปาก  กัดกระเทียมคำหนึ่ง  พูดอู้อี้  “ไม่มีอะไร  ข้าแค่ตามมาดูเฉยๆ”


......


......


ยามดึกสงัด  เตียงใหญ่ที่เคยกว้างขวาง  กลับดูคับแคบเพราะมีเหลียงโก่วเอ๋อร์กับเหลียงมาวเอ๋อร์นอนอยู่ด้วย


เฉินจี้ลุกขึ้นอย่างเบามือเบาเท้า  หยิบกระบอกไม้ไผ่กับแผ่นไม้ไผ่ออกมาที่ลานบ้าน  บรรจงขูดเอาคราบขาวที่เกาะตามผนังกำแพงลงมา


เพียงแค่คราบดินประสิวที่สะสมเนิ่นนานบนกำแพงสี่เหลี่ยมเล็กๆ แผ่นนี้  ก็เก็บได้ครึ่งกระบอกไม้ไผ่  เช่นนั้นในเมืองหลัวอันกว้างใหญ่  ไม่รู้ว่าจะปรุงดินปืนได้มากเพียงใด......


คืนนี้เป็นคืนที่หยุนเฟยจะทำการค้าขายกับกรมข่าวกรองราชวงศ์จิ่ง  เฉินจี้ได้ส่งข่าวให้กับสือเฉาที่หลังหอไป๋ลู่ไปแล้วตอนไปซื้อเสื้อผ้าที่ตลาดบูรพาเมื่อเช้านี้


ส่วนการค้าขายของพวกเขาจะสำเร็จหรือไม่  นั่นไม่ใช่เรื่องของเฉินจี้แล้ว


ตอนนี้หยุนหยางกับเจียวถู่ติดคุก  หัวหน้าคนใหม่ของกรมสืบลับยังไม่มาถึง  เฉินจี้จึงมีเวลาพักผ่อนอันหาได้ยาก


ฝึกดาบบ้าง  ทำระเบิดบ้าง  สบายใจราวกับชาวบ้านธรรมดาทั่วไป


ขณะที่เฉินจี้กำลังขูดดินประสิวบนกำแพง  ก็พลันมีเสียงเคาะประตูแผ่วเบาดังมาจากข้างนอก


เขาขมวดคิ้ว  พวกชาวยุทธที่รอโอรสอ๋องออกไปเที่ยวด้วยกันหรือ?  แต่โอรสอ๋องยังไม่มาเลยนี่


เฉินจี้ซ่อนกระบอกไม้ไผ่ไว้หลังโอ่งน้ำ  บรรจงเดินเข้าไปใกล้ประตู  “ใคร?”


คนข้างนอกพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน  “จินจู” (สุกรทอง)


เฉินจี้สะดุ้งเฮือกในอก


สิบสองนักษัตรแห่งกรมสืบลับ  จินจู?


มาเร็วเหลือเกิน!


เดิมทีเขาคิดว่า  หัวหน้าคนใหม่ประจำเมืองหลัวจะมาถึงอย่างเร็วก็เดือนหนึ่ง  เขาจะมีเวลาหนึ่งเดือนในการเตรียมตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป


แต่จินจูมาเร็วเหลือเกิน  ไม่เพียงเกินความคาดหมายของเขา  แต่คงจะเกินความคาดหมายของกรมข่าวกรองและตระกูลหลิวด้วย!


เฉินจี้ครุ่นคิดครู่หนึ่ง  สูดลมหายใจลึก  บรรจงผลักประตูโรงยาเปิดออก  แล้วยิ้มต้อนรับ  “ขอถามว่า  เป็นท่านจินจูแห่งกรมสืบลับใช่หรือไม่?”


หน้าประตูมีชายหนุ่มร่างอ้วนท้วนยืนอยู่  เท้าสวมรองเท้าฟาง  ศีรษะสวมงอบ  สวมเสื้อผ้าหยาบ  ดูราวกับชาวนาที่เพิ่งเข้ามาจากไร่นาชนบท


อีกฝ่ายยิ้มอย่างอบอุ่น  ไร้ซึ่งลมหายใจอันหนาวเหน็บ  ไร้ซึ่งจิตฆ่าฟันแบบหยุนหยางและเจียวถู่  “ถูกต้อง  ข้าคือจินจูแห่งกรมสืบลับ  นามจริงคือซ่งเฉียน  สิ่งแรกที่ข้าทำหลังมาเมืองหลัวก็คือมาหาเจ้า”


เฉินจี้ขยับหลีกทางอย่างไม่แสดงอาการใดๆ  “เหตุใดจึงเป็นท่านจินจูที่มา  ท่านหยุนหยางกับท่านเจียวถู่เล่า?”


ตามหลักแล้ว  เขาที่เป็นเพียงเด็กฝึกโรงยา  ไม่ควรรู้ว่าทั้งสองถูกกรมอาญาจับไป  ดังนั้นต้องแสดงละครให้แนบเนียน


จินจูเดินเข้ามาในโรงยา  พลางกวาดตามองสภาพแวดล้อมห้องโถงใหญ่  พลางตอบพร้อมรอยยิ้ม  “หยุนหยางกับเจียวถู่ก่อเรื่องใหญ่  บัดนี้ติดคุกเสียแล้ว...ไม่มีใครมาบอกเจ้าเลยหรือ?”


“ไม่มีขอรับ”  เฉินจี้ส่ายหน้า  “ท่านหยุนหยางกับท่านเจียวถู่ดีต่อข้า  พวกท่านติดคุกเพราะเหตุใด?”


จินจูส่ายหน้า  “เจ้าเข้าใจผิดเรื่องหยุนหยางกับเจียวถู่แล้ว  คงยังไม่ทราบกระมังว่า  พวกเขาแย่งความดีความชอบของเจ้าแล้ว?  วางใจเถิด  คราวนี้ที่ข้ามา  จะไม่มีใครแย่งความดีความชอบของเจ้าได้อีก”


เฉินจี้ลองเค้นถาม  “ท่านจินจูมาจากเมืองหลวงหรือขอรับ?”


“ไม่ใช่  ตอนที่หยุนหยางกับเจียวถู่มาถึงเมืองหลัว  ข้าก็อยู่ที่ค่ายใหญ่เมิ่งจินขององครักษ์เจี่ยฝานแล้ว  เจ้าไม่รู้หรอก  ปลาคาร์ปแม่น้ำหวง (แม่น้ำเหลือง) แถบเมิ่งจินนั้นรสชาติยอดเยี่ยมเหลือเกิน  โดยเฉพาะน้ำราดแดงแบบท้องถิ่น  ช่างหอมหวนยิ่งนัก”


เฉินจี้ตกใจ  “ท่านจินจูอยู่ที่เมืองหลัวมาตลอดเลยหรือ?!”


(จบตอน)

______________

______________
ลงทุกวันจันทร์ อังคาร พุธ เสาร์ อาทิตย์
ปัจจุบันแปลถึงตอน: 0068
ติดตามผู้แปล : www.facebook.com/bjknovel/
#พระเอกฉลาด #นิยายแฟนตาซี #qingshan
Previous Next

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตอนที่ 0001 กลับสู่ศูนย์

ตอนที่ 0007 บุพการี

ตอนที่ 0010 ตำหนักหวั่นซิง