ตอนที่ 0006 เพื่อนร่วมงาน

 


“ในเมืองหลัวมีร้านขายกระดาษสาอย่างน้อยยี่สิบร้าน  เบื้องหลังล้วนเป็นขุนนางผู้มีอำนาจ  ข้าต้องไปร้านไหนล่ะ?”  เจียวถู่กลอกตาขาว


เฉินจี้  “ถ้างั้นต้องถามท่านโจวแล้ว”


เจียวถู่กระโดดลงจากหลังโจวเฉิงอี้  แล้วพลิกตัวอีกฝ่ายหงายขึ้น  “ท่านโจว?”


“อ้าว  ท่านโจว?!”


กลับเห็นโจวเฉิงอี้หน้าเขียวคล้ำ  ตาเบิกกว้าง  ตายสนิทไปแล้ว


“เจียวถู่  เจ้าพลาดท่าฆ่าเขาตาย!”  หยุนหยางร้องลั่น


เจียวถู่กลอกตาขาว  “อย่ามาโยนความผิดให้ข้า  เขาตายเพราะพิษ”


หยุนหยางแปลกใจ  “ถุงพิษในปากเขา  ข้าเอาออกแล้วนี่”


เจียวถู่  “บนตัวเขาต้องซ่อนยาพิษไว้ที่อื่นอีกแน่  เมื่อครู่ทำทีจะฆ่าเจ้าหนุ่มนี่  แต่ความจริงแอบหยิบยาพิษจากตัว”


“นั่นก็เป็นความรับผิดชอบของเจ้า  เจ้าเป็นคนดูแลเขา”


“ถ้าเจ้าจะโยนความผิดให้ข้าอีก  ข้าจะกลับแล้วนะ”


หยุนหยาง  “ขอโทษ  ข้าพลั้งปาก...”


เจียวถู่มองไปทางเฉินจี้  “หาทีละร้านช้าเกินไป  ยิ่งนานเข้าจะพลาดปลาใหญ่ตัวนี้แน่  เจ้ามีวิธีอะไรไหม?”


เฉินจี้บรรจงลุกยืน  เดินไปทางโต๊ะ  มือของเขาลูบไล้ลายเส้นของกระดาษสาอย่างละเอียด  “กระดาษสาล้วนทำด้วยมือ  นิสัยของช่างแต่ละคนไม่เหมือนกัน  บางคนชอบใส่เปลือกต้นฉิงถานมากหน่อย  บางคนชอบใส่ฟางข้าวมากหน่อย  บางคนเป็นคนประณีต  เวลาใช้โม่หินบดเยื่อชอบบดให้ละเอียด  บางคนติดขี้เกียจ  บดให้หยาบหน่อย  ฝีมือการทำกระดาษสา  กำหนดราคาของมัน...หากระดาษแผ่นเดียวกันได้  ก็จะหาร้านนี้เจอ”


เจียวถู่เข้าไปใกล้  ก้มลงสังเกตลายเส้นกระดาษสาอย่างถี่ถ้วน  ก่อนหน้านี้กระดาษสาในสายตาของนาง ล้วนดูเหมือนๆ กันไปหมด...


...


...


ขณะนั้น  เสียงเคาะประตูดังขึ้นนอกลาน  มีคนหยิบห่วงทองเหลืองบนประตูใหญ่คฤหาสน์โจว  เคาะกระแทกประตูเป็นจังหวะ


นอกประตู  เสียงแหบพร่าผ่านความทุกข์เอ่ยถาม “ท่านโจว  เฉินจี้อยู่ในจวนท่านหรือไม่?”


ในพริบตา  หยุนหยาง  เจียวถู่  เหล่าชายชุดดำทุกคนบนลาน  รวมทั้งเฉินจี้  ต่างมองไปยังต้นเสียงพร้อมกัน


ตุง ตุง ตุง!


เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกระลอก  หัวสัตว์คาบห่วงบนประตูใหญ่กระแทกลงบนประตูทาสีแดง  จังหวะไม่เร็วไม่ช้า  แต่มีแรงกดดันอย่างบอกไม่ถูก


ยามดึกสงัดเงียบ  เสียงเคาะประตูยิ่งดูผิดปกติเป็นพิเศษ


ชายชุดดำในลานค่อยๆ ชักดาบตรงเอวออกมา  ไม่ส่งเสียงแม้แต่น้อย  รอคำสั่งจากหยุนหยาง


คนเหล่านี้คือยอดฝีมือในหมู่ยอดฝีมือ  เฉินจี้นึกย้อนตั้งแต่ตนข้ามมาจนถึงตอนนี้  ไม่มีใครพูดเปล่าประโยชน์แม้แต่คำเดียว


ตุง ตุง ตุง!


คนนอกประตูเห็นไม่มีใครตอบ  เสียงแหบพร่านั้นจึงถามอีกครั้ง  “เฉินจี้  อยู่ข้างในหรือไม่?”


เฉินจี้งุนงงอยู่บ้าง


ใครจะมาหาตนได้?


เขามองไปทางหยุนหยาง  กลับเห็นชายหนุ่มผู้นี้สีหน้าแปรปรวน  ครุ่นคิดครู่หนึ่งจึงส่งสายตาให้ชายชุดดำคนหนึ่ง  “ลากทุกศพเข้าไปในห้อง”


เจียวถู่มองไปทางหยุนหยาง:  “คนที่มาเป็นใคร?”


“ไม่ต้องตื่นตระหนก  ข้าได้ยินแล้วว่าเป็นใคร”  หยุนหยางเดินไปยกกลอนประตู


ประตูใหญ่เปิดออก  กลับเห็นในความมืดนอกประตู  มีชายชราหลังค่อมยืนอยู่  อีกฝ่ายสวมเสื้อคลุมยาวสีเทา  เท้าสวมรองเท้าผ้าดำพื้นขาว  รอยย่นเต็มใบหน้า  ดุจร่องลึกบนผืนดินแห้งแล้ง


ชายชราไว้หนวดเครายาวถึงหน้าอก  ผมถูกเกล้าด้วยปิ่นสีเขียวอยู่บนกลางศีรษะ  หนวดเคราและเส้นผมขาวโพลน  แก่จนแก่ไม่ได้อีกแล้ว


ชายชราเห็นหยุนหยางก็แปลกใจอยู่บ้าง  หยุนหยางกลับเปลี่ยนยิ้มแย้ม “หมอหลวงเหยา  ไม่ได้พบกันเสียนาน  ร่างกายท่านยังแข็งแรงดีหรือไม่?”


ชายชรานิ่งเงียบครู่หนึ่ง  “เป็นเจ้านี่เอง  ไม่ใช่ว่าต้องอยู่ในเมืองหลวงหรอกหรือ  มาเมืองหลัวได้อย่างไร?”


หยุนหยางอธิบาย  “มีธุระชั่วคราว  จึงแวะมาขอรับ  พอดีคืนนี้มาเยี่ยมท่านโจวแล้วพบเฉินจี้  จึงชวนเขาคุยกันหน่อย”


ชายชราถาม  “โรคขาของท่านอัครมหาดเล็ก  ดีขึ้นบ้างหรือยัง?”


“ดีขึ้นมากแล้ว  ท่านยังชมท่านว่าเป็นหมอเทพอยู่เลย  โรคลมหนาวที่เป็นมาตั้งแต่ปีก่อนๆ ตอนอยู่กรมฟืนถ่าน  ในที่สุดก็รักษาหายแล้ว”  หยุนหยางพูดพร้อมรอยยิ้ม  “น่าเสียดายที่ท่านไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง  ไม่งั้นฝ่าบาทคงเรียกท่านเข้าวังไปนานแล้ว”


“โรคของฝ่าบาท  ข้ารักษาไม่ได้”  ชายชราเปลี่ยนประเด็น  “เฉินจี้ล่ะ  ยาส่งถึงแล้ว  ก็ควรกลับได้แล้ว”


หยุนหยางครุ่นคิดครู่หนึ่ง  “เฉินจี้  รีบตามอาจารย์กลับไปเถิด  ดูสิหมอหลวงเหยาห่วงใยเจ้าแค่ไหน  อายุปูนนี้แล้วยังเดินไกลมารับ”


เฉินจี้ไม่คิดว่าหยุนหยางจะยอมปล่อยคน...หรือว่าเป็นเพราะชายชรากล่าวถึง  ‘อัครมหาดเล็ก’  ?


เขารีบเดินออกไปข้างนอก  ตอนเดินผ่านเจียวถู่  กลับถูกอีกฝ่ายดึงไว้  “กลับไปแล้วอย่าพูดมากนะ  พวกเราจะไปหาเจ้าอีก”


เฉินจี้ไม่พูดอะไร  รีบเดินออกนอกประตู  “ท่านอาจารย์  เรากลับกันเถอะ”


“อืม”


หมอหลวงเหยากอดมือไพล่หลัง  หลังค่อม  เดินโซเซไปยังส่วนลึกของถนนยาว  ไม่ถามอะไรอีกแม้แต่ประโยคเดียว


เฉินจี้สัมผัสได้ว่า  ด้านหลังตนมีสายตาสองคู่จ้องมองมาราวกับตะขอ  เขาหันกลับไปมอง  เห็นหยุนหยางและเจียวถู่ยืนอยู่ตรงประตู  มองเขาด้วยรอยยิ้มที่ไม่ใช่รอยยิ้ม


หยุนหยางกับเจียวถู่สวมชุดดำ  ทั้งคู่รูปโฉมงดงาม  เอวหลังตั้งตรง  เป็นคนประเภทที่เดินบนถนนแค่มองก็สบายตา


แต่สองคนนี้  ฆ่าคนแล้วตาไม่กะพริบ  ราวกับชีวิตคนเป็นสิ่งไร้ค่าที่สุดบนโลกนี้


อสรพิษ  นี่คือความประทับใจลึกซึ้งที่สุดของเฉินจี้ต่อสองคนนั้น


เฉินจี้วิ่งเหยาะๆ สองก้าวตามหลังชายชรา  เสียงดังครืนหนึ่ง  ประตูใหญ่คฤหาสน์โจวปิดลงจากด้านหลังพวกเขา


ฟู่!  เฉินจี้ถอนหายใจโล่งอก


ดูเหมือนนี่จะเป็นโลกที่ชีวิตคนไร้ค่าดั่งหญ้าแพรก


ตอนแรกที่ข้ามมา  เขาไม่ได้อยากมีชีวิตอยู่มากนัก  เพียงสังเกตทุกสิ่งราวกับผู้เฝ้ามอง  ตนจะมีชีวิตรอดหรือตายไป  ความจริงแล้วไม่สำคัญนัก


แต่หากเขายังเกิดใหม่ได้  บิดามารดาจะมีโอกาสเกิดใหม่หรือไม่?  นี่สำคัญยิ่งสำหรับเขา


ต้องมีชีวิตรอดไว้ก่อน


“ท่านอาจารย์  ขอบคุณที่มารับข้า”  เฉินจี้พูดจากใจจริง  จริงใจอย่างยิ่ง


ชายชรากลับถอนหายใจ “หากข้ารู้ว่า  คืนนี้พวกคนของกรมสืบลับอยู่ด้วย คงไม่ไปตามหาเจ้าเด็ดขาด”


เฉินจี้:  “...”


หมายความว่าอย่างไร?


ลูกศิษย์ไม่เอาแล้วหรือ?


ชายชราพึมพำกับตัวเอง  “แปลกจริง  ก่อนออกจากบ้านทำนายไพ่ได้มหามงคล  นึกว่าจะเก็บก้อนทองคำได้...มงคลบ้าบออะไร”


คำพูดนี้ทำให้เฉินจี้งุนงงไปหมด  “ท่านอาจารย์  ไม่อยากรู้เรื่องในจวนหรือ...”


ชายชราเดินอยู่ข้างหน้า  หันหลังให้เขาพร้อมกับยกมือขึ้น  เสมือนปัดบทสนทนา  “ไม่ต้อง!  อย่าเล่าให้ข้าฟังเด็ดขาด  เรื่องยุ่งยากแบบนี้  ข้าไม่อยากรู้เลยสักนิด  รู้แล้วไม่มีอะไรดีแน่  ข้ามีชีวิตอยู่ได้ถึงเก้าสิบสองปี  อาศัยก็คือไม่ยุ่งเรื่องชาวบ้าน”


เฉินจี้  “รู้รักษาตัวรอดนี่เอง…”


ชายชราหยุดเดิน  “ยาส่งถึงแล้ว  ค่ายาล่ะ?”


เฉินจี้ถึงกับตะลึง  เขาจะรู้ได้อย่างไรว่าต้องเก็บค่ายาด้วย  “ลืมขอจากท่านโจว...”


ชายชราหันกลับมาอย่างไม่พอใจ  “เจ้ากลับไปขอจากพวกเขาสิ”


เฉินจี้ตอบเด็ดขาด  “ข้าไม่ไป”


ชายชราครุ่นคิดอยู่นาน  “งั้นค่ายานี่  เจ้าก็จ่ายเอง”


เฉินจี้เปลี่ยนหัวข้อ  “...ท่านคุ้นเคยกับพวกเขาดีหรือ?”


ชายชราตอบ  “ปีก่อนๆ ตอนอยู่ในเมืองหลวงเคยพบปะกัน  พวกนี้ใจดำมือเหี้ยม  ชอบทำเรื่องที่ฟ้าดินไม่ให้อภัยเป็นนิจ  ต่อไปเจอกันบนถนนก็ทำเป็นไม่รู้จัก  หรือเจ้าออกมาข้างนอกแล้ว  ทำเป็นไม่รู้จักข้าก็ได้”


เฉินจี้:  “...”


ชายชราพึมพำกับตัวเอง  “บุคคลสำคัญของกรมสืบลับมาเอง  เมืองหลัวคงไม่สงบแล้ว”


ถนนยาวเงียบสงัด  เมืองหลัวราวกับหลับใหล  แม้แต่ตลาดบูรพาที่ปกติคึกคักเหลือเกินก็ยังเงียบเชียบ ไฟดับไปหลายดวงแล้ว


คนเคาะยามคีบโคมขาวไว้ใต้รักแร้  เดินสวนทางพวกเขา  ตีฆ้องยามสามอย่างเบื่อหน่าย  ร้องว่าอากาศแห้ง  ระวังฟืนไฟ


เมื่อเดินถึงสี่แยกหนึ่ง  เฉินจี้เห็นอาจารย์ผู้นี้หยิบเหรียญทองแดงสามเหรียญออกจากแขนเสื้อ


อึดใจถัดมา  ชายชราเงยหน้ามองตำแหน่งดวงดาว  นั่งยองลง  โยนเหรียญทองแดงทำนายบนถนนหินหกครั้ง  “อืม...ไปทางซ้าย”


“ท่านอาจารย์  ทางขวามีอันตรายใดหรือ?”  เฉินจี้สงสัย


“อันตรายไม่มีหรอก  ดูจากไพ่อาจจะเจอขอทาน  ข้าคนนี้พออายุมากขึ้น  ก็เห็นอกเห็นใจมากขึ้นบ้าง  เห็นแล้วอาจจะโยนเงินให้  ก็เลยอ้อมไป  ขอไม่เห็นดีกว่า”  ชายชราอธิบายอย่างเรียบเฉย


เฉินจี้:  “...”


...


...


ภายในคฤหาสน์โจว  เจียวถู่นั่งยองบนเก้าอี้ไท่ซือ  เท้าคางมองไปยังท้องฟ้ายามค่ำ  “ปล่อยเขาไปง่ายๆ แบบนี้หรือ?  เพราะอาจารย์เขารู้จักกับอัครมหาดเล็กหรือ?”


“ไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย  ท่านอัครมหาดเล็กเป็นคนใจดำมือเหี้ยม  ถ้าต้องหนีก็หันหลังไม่รู้จักใคร  อย่าว่าแต่ลูกศิษย์หมอหลวงเหยาเลย  ถ้าขวางทางอัครมหาดเล็กจริงๆ หมอหลวงเหยาก็ต้องตาย”


เจียวถู่ถอนหายใจ  “ก็ได้  เจ้าว่าเจ้าหนุ่มนั่นจะเป็นสายลับราชวงศ์จิ่งไหม?”


“เป็นแน่นอน”  หยุนหยางตอบอย่างมั่นใจ  “เด็กฝึกธรรมดาจะทนเข็มข้าได้กี่เล่มกัน?  เจ็บจนสลบไปนานแล้ว  อีกอย่าง  เจ้าดูเขาปรับตัวตามสถานการณ์สิ  ไม่ใช่สิ่งที่เด็กฝึกโรงหมอจะทำได้แน่”


เจียวถู่สงสัย  “งั้นยังปล่อยเขาไปอีกหรือ?”


หยุนหยางยิ้มน้อยๆ  “หากเขาเป็นสายลับจริง  งั้นคืนนี้เขาก็มาพบโจวเฉิงอี้เพื่อส่งข่าว  กรมข่าวกรองราชวงศ์จิ่งก็ต้องทราบเรื่องนี้แน่  คืนนี้โจวเฉิงอี้หายตัวไป  แต่เขากลับยังมีชีวิตอยู่  กรมข่าวกรองต้องตัดสินว่าเขาหักหลังโจวเฉิงอี้อยู่แล้ว”


เจียวถู่ตาเป็นประกาย  “ราชวงศ์จิ่งปฏิบัติต่อผู้ทรยศอย่างเข้มงวดเสมอมา  ต้องส่งคนมากำจัดเขาแน่  ถึงตอนนั้น  เราจะจับคนที่มาสังหารเขา  ได้ความดีความชอบเพิ่มอีก!”


“ถูกต้อง!”


ผ่านไปครู่ใหญ่  ชายชุดดำคนหนึ่งกลับมารายงาน  “ท่านทั้งสอง  ตามลายเส้นกระดาษสา  พบร้านกระดาษสาที่ตรงกันสองร้าน  เจ้าของร้านและลูกจ้างในร้านกำลังถูกคุมตัวไปยังคุกเมืองหลัว”


เจียวถู่ลุกขึ้น  “ข้าจะไปสอบสวนคืนนี้เลย!”


หยุนหยางยืดตัว  “งั้นข้าจัดการศพเอง  จัดการเสร็จข้าจะกลับไปพักเร็วหน่อย”


“ตกลงกันก่อนว่า  ความดีความชอบเราสองคนจะแบ่งกันยังไง!”


“แน่นอนว่าห้าห้าส่วน”


“ไม่ได้”


หยุนหยางเลิกคิ้ว  “ทำไมไม่ได้?”


เจียวถู่  “คืนนี้ข้าสังหารเก้าศพ  เจ้าแค่หกศพ  โจวเฉิงอี้ก็ข้าเป็นคนจับ  หกสี่ส่วน  ไม่งั้นเจ้าอย่าชวนข้าร่วมงานอีก”


หยุนหยางถอนหายใจ  “ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนร่วมงาน  จัดการยากกว่าศพจริงๆ…หกสี่ก็หกสี่”


เจียวถู่กระโดดลงจากเก้าอี้ไท่ซือ  นำเหล่าชายชุดดำเดินจากไปอย่างร่าเริง  เหลือแต่หยุนหยางคนเดียวจัดการเก็บกวาด


เมื่อทุกคนไปแล้ว  หยุนหยางหยิบ...ตัวหนังตะลุงขนาดฝ่ามือ  สิบกว่าตัว  ออกมาจากแขนเสื้อ


เขาใช้เข็มเงินแทงข้อมือศพทุกศพทีละศพ  บีบเลือดสดออกมาทีละหยด


ต่อมา  เขานำหยดเลือดสดป้ายบนเข็มเงิน  แล้วแต้มตาให้ตัวหนังตะลุงทีละตัว


เลือดซึมเข้าไปในดวงตาตัวหนังตะลุงจนแดงฉาน  ร่างเล็กๆ ก็ราวกับมีชีวิตขึ้นมา


“สำเร็จ!”


วินาทีถัดมา  ทุกศพในลานทยอยลุกขึ้นยืน  เดินตามหยุนหยางไปนอกคฤหาสน์โจวด้วยใบหน้าไร้อารมณ์


คณะคนเรียงแถวกัน  ไม่รู้ว่าเดินบนถนนยาวนานแค่ไหน  หยุนหยางเห็นขอทานน้อยคนหนึ่ง  คลุมเสื่อฟางขดตัวอยู่ข้างทาง  เนื่องด้วยอากาศหนาวเย็น  ขอทานน้อยขดตัวเป็นก้อน


หยุนหยางจ้องมองอีกฝ่ายอยู่นาน  หยิบเหรียญทองแดงหนึ่งสายออกจากแขนเสื้อ  โยนมันลงพื้น  แล้วนำสิบกว่าศพเดินเข้าไปในความมืด


(จบตอน)

______________

ปัจจุบันแปลถึงตอน: -

ติดตามผู้แปล : www.facebook.com/bjknovel/

#พระเอกเทพ #นิยายแฟนตาซี #qingshan


Previous Next

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตอนที่ 0001 กลับสู่ศูนย์

ตอนที่ 0007 บุพการี