ตอนที่ 0005 เศษเครื่องเคลือบ



เหลือเวลาเพียงหนึ่งเค่อเท่านั้น


ช่างสั้นเหลือเกิน


เฉินจี้ไม่พูดพล่ามอีกต่อไป  รีบตรวจตราไปทั่วห้องหนังสือ  สายตาหยุดอยู่กับหนังสือม้วนและกระดาษสาที่กระจัดกระจาย  พลิกอ่านหนังสือบนชั้นอย่างเร่งรีบ


“กระดาษสาทุกแผ่นว่างเปล่า  หนังสือก็เป็นแค่เล่มที่หาซื้อได้ทั่วไป  ข้างในไม่มีอะไรแอบซ่อน”  เจียวถู่เตือน


เฉินจี้หันตัวเดินออกไปทางลานบ้าน


นี่คือเรือนสี่มุขสองชั้น  เขาสังเกตรายละเอียดทุกจุดของลานบ้านอย่างถี่ถ้วน  พยายามค้นหาร่องรอยเบาะแส  เฉินจี้รู้อยู่แก่ใจดีว่า  ตนอาจหาเบาะแสไม่พบ  ที่พูดไปเมื่อครู่นั้น  ก็เพราะเผชิญหน้ากับพวกอสรพิษที่ฆ่าคนไม่กะพริบตา  หากไม่พูดคงตายคาที่ไปแล้ว


นาทีแล้วนาทีเล่าผ่านไป  หยุนหยางค่อยๆ หมดความอดทน  “ชักช้าเกินไปแล้ว  ช้าเกินไป  ต้องเพิ่มเกมหนึ่งอย่าง  เห็นต้นหวู่ถงในลานนี้ไหม?  ระหว่างที่เจ้าหาเบาะแส  ทุกครั้งที่ใบไม้ร่วงหนึ่งใบ  ข้าจะแทงเข็มใส่เจ้าหนึ่งครั้ง”


เสียงเพิ่งขาดคำ  ใบไม้ใบหนึ่งก็หลุดร่วงจากกิ่งไม้ลงมา


หยุนหยางชูมือ  หยิบใบไม้สีเหลืองแห้งกลางอากาศ  พลางถอนหายใจ  “เจ้าช่างโชคไม่ดีเอาเสียเลย”


พูดจบ  เขาเดินมาตรงหน้าเฉินจี้  แล้วแทงเข็มใส่หว่างนิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้ของเด็กหนุ่ม


ใบหน้าเฉินจี้กลายเป็นแดงก่ำทันที  ทั้งตัวโน้มงอลงเพราะความเจ็บปวดแสนสาหัส  ถึงจะเป็นฤดูใบไม้ร่วงอันหนาวเหน็บ  แต่เหงื่อเม็ดโตเท่าเมล็ดถั่วบนหน้าผากเขา  กลับหยดลงมาเม็ดแล้วเม็ดเล่า


เขาด่าหยุนหยางในใจว่าวิปริต  แต่ก็ไม่อาจบรรเทาความเจ็บปวดนี้ได้เลยสักเสี้ยว


หยุนหยางพูดอย่างเชื่องช้า  “เวลาที่เสียไปเพราะความเจ็บปวด  ก็นับรวมในหนึ่งเค่อนั้นด้วย”


เฉินจี้เอามือเกาะต้นหวู่ถง  บรรจงยืดตัวขึ้น  เดินเขยิบเข้าไปในครัวทีละก้าว  เขาต้องหาเบาะแสให้พบก่อนใบที่สองจะร่วงหล่น!


ในครัวมีแค่เตาที่ก่อด้วยอิฐเขียว  กับขวดโหลใส่เครื่องปรุงกองหนึ่ง


ภายในห้องสะอาดเรียบร้อย  ไม่มีสิ่งของเกินจำเป็นแม้แต่ชิ้นเดียว


เฉินจี้ตรวจสอบขวดโหลทุกใบ  แล้วเดินออกจากครัว  แต่ทว่า  พอออกมาจากครัว  เขากลับยืนนิ่งอยู่กับที่


เขาพึมพำกับตัวเอง  “เหมือนจะมีบางอย่างผิดปกติ  เหมือนพลาดรายละเอียดอะไรไป”


หยุนหยางเอนพิงกรอบประตูครัว  ปากหาวหวอด  เล่นกับเข็มเงินบนปลายนิ้ว  “เจ้าใกล้หมดเวลาแล้ว  ดูเหมือนข้าจะเสียเวลาไปหนึ่งเค่อเปล่าๆ”


เฉินจี้ยังคงยืนนิ่ง  พยายามสุดกำลังครุ่นคิดว่า  เมื่อครู่นี้ตนพลาดรายละเอียดอะไรไป!


ขณะกำลังไตร่ตรอง  ใบไม้อีกใบก็ร่วงหล่นจากต้นหวู่ถง  หยุนหยางแทงเข็มเข้าที่หลังหูเขาอีกครั้ง


ในพริบตา  เฉินจี้โน้มตัวนั่งยองลงกับพื้น  ขดตัวงอเหมือนกุ้งเล็ก  ขยับไม่ได้  เกือบจะช็อกไปแล้ว


แต่ครั้งนี้  ไม่รอให้หยุนหยางเร่ง  เขารีบลุกขึ้นยืน  กลับเข้าไปในครัว  หิ้วโหลสองใบออกมา  ข้างในเป็นผงผลึกสีขาวละเอียด


หยุนหยางเหลือบมองด้วยความสงสัย  “เกลือสองโหล  มีปัญหาอะไร?”


“ครัวหนึ่งจะมีเกลือสองโหลทำไม?”  เฉินจี้พูดพลาง  หยิบผงสีขาวละเอียดจากโหลดินเผาใบหนึ่งมาขยี้บนปลายนิ้ว  “นี่ไม่ใช่เกลือ”


“ไม่ใช่เกลือ?”  หยุนหยางสงสัย  เขากับเจียวถู่ถนัดการฆ่าคนและจัดการหลังฆ่า  ปัดความผิด  แย่งความดีความชอบ  ส่วนการค้นหาร่องรอยเบาะแส  เรียกได้ว่าเป็นจุดอ่อนจริงๆ


เฉินจี้ยื่นนิ้วให้หยุนหยาง  “ลองชิมดูสิว่าเป็นรสอะไร”


หยุนหยางพูดอย่างหงุดหงิด  “เจ้าหนุ่มน้อยระวังตัวดีนี่  ถ้าเกิดมีพิษล่ะ?  ข้าไม่ชิม”


เจียวถู่หัวเราะออกมา


หากไม่ใช่เพราะศพเกลื่อนพื้น  สาวน้อยอสรพิษนางนี้ยิ้มแล้วน่าจะน่ารักทีเดียว


หยุนหยางทำหน้าเย็นชา  “รีบชิมเร็ว”


เฉินจี้หยิบผงสีขาวใส่ปาก  “ฝาดมาก  ไม่มีรสชาติชัดเจน”


เขาจมอยู่กับความคิด


ของนี่จะเป็นอะไรกันนะ?


เฉินจี้เร่งค้นหาในความทรงจำ  พยายามหาคำตอบจากหนังสือที่เคยอ่าน


เดี๋ยวก่อน  นี่มันสารส้ม!


หนังสือความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับข่าวกรองทหารบางเล่มเคยกล่าวถึง  สารส้มเป็นวัสดุหลักอย่างหนึ่งที่ใช้เขียนจดหมายลับในสงครามข่าวกรอง


ใช้น้ำสารส้มเขียนตัวอักษร  พอแห้งแล้วลายมือจะหายไป  เทคนิคสายลับนี้  มีต้นกำเนิดในศตวรรษที่สิบสาม  จนถึงสงครามโลกครั้งที่หนึ่งและสอง  จึงเริ่มถูกสายลับใช้บ่อยขึ้น


เฉินจี้ครุ่นคิดอยู่นาน  เขามั่นใจว่าตนหาคำตอบเจอแล้ว  สายลับราชวงศ์จิ่งใช้สารส้มเขียนจดหมายลับ  โจวเฉิงอี้เก็บของนี้ซ่อนไว้ในบ้านคู่กับเกลือเพื่อพรางตา  วางไว้ใกล้ตัวและสะดวกขนาดนี้  แสดงว่าการติดต่อด้วยจดหมายลับคงเกิดขึ้นบ่อยมาก  ถ้าอย่างนั้น...ในบ้านโจวเฉิงอี้ต้องมีจดหมายลับที่เขาติดต่อกับสายลับคนอื่นแน่


เขารีบหยิบไหน้ำส้มจากครัวกลับมายังห้องหนังสือ  ปูกระดาษสาขาวโพลนทีละแผ่นลงบนโต๊ะ  ฉีกผ้าจากตัวเองมาชิ้นหนึ่ง  จุ่มน้ำส้มแล้วเช็ดกระดาษสาเบาๆ ทุกจุด


เช็ดกระดาษสาไปห้าหกแผ่นติดต่อกัน  แต่ไม่ได้คำตอบที่ต้องการ  จากวินาทีกลายเป็นนาที  ในฤดูใบไม้ร่วงอันหนาวเหน็บ  หน้าผากเฉินจี้กลับมีเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดขึ้น


เขาหันไปมองโจวเฉิงอี้  เห็นอีกฝ่ายสีหน้าสงบ  ไม่ตื่นตระหนก


หรือว่าตนเดาผิด?


ไม่  ไม่ผิดแน่!


ขณะนั้น  ลมหนาวพัดมา  ใบไม้สีเหลืองแห้งบนต้นหวู่ถงร่วงลงมาราวกับฝน  หยุนหยางจึงอมยิ้ม  “โชคของเจ้าไม่ค่อยดีเลยนะ...”


“เจอแล้ว!”


“หืม?”  สายตาหยุนหยางหันไปมอง


เฉินจี้เช็ดถึงกระดาษสาแผ่นที่สิบสอง  ตรงที่น้ำส้มสีเหลืองอ่อนเช็ดผ่าน  ตัวอักษรสีแดงแถวหนึ่งปรากฏให้เห็น  “ร้านน้ำหวานหลี่จี้  ตรอกลี่จิ่ง  ทิศตะวันออกของเมือง  หากมีอันตรายให้ไปทันที”


หยุนหยางเห็นตัวอักษรเหล่านี้  คู่ดวงตาส่องประกายทันที  “พวกสายลับราชวงศ์จิ่งสร้างแหล่งกบดานใหม่  หรือว่ามีบุคคลสำคัญของกรมข่าวกรองทหารราชวงศ์จิ่ง มาเยือนเมืองหลัวแล้ว?”


พูดจบ  เขามองไปทางเจียวถู่  “เป็นความดีความชอบใหญ่!”


เจียวถู่คิดอยู่ครู่  “ฆ่าเจ้าหนุ่มน้อยนี่ทิ้ง  ความดีความชอบเป็นของเรา”


“ไม่ได้  ข้าสัญญาจะไว้ชีวิตแล้ว  เขาไม่ใช่คนของกรมสายลับเรา  ความดีความชอบยังไงก็ตกเป็นของเจ้ากับข้า”


“ก็ได้...”


ฝ่ายโจวเฉิงอี้  สายลับราชวงศ์จิ่งผู้นี้ถึงกับหน้าซีดเผือด


เขาไม่เสแสร้งอีกต่อไป  พลันชักกระบี่อ่อนที่ซ่อนอยู่ในเข็มขัด  พุ่งตรงเข้าหาเฉินจี้  เสี่ยงตายเพื่อฆ่าคน


สายลับราชวงศ์จิ่งผู้นี้พุ่งตัวปราดเปรียว  ชั่วพริบตาเดียวก็สลัดท่าทางอันน่าสมเพชเมื่อครู่ทิ้ง  ดุดันดั่งสัตว์ร้ายคลั่ง


เฉินจี้เร่งฝีเท้าถอยหลัง  ขณะที่อีกด้านหนึ่ง  เจียวถู่กระโจนขึ้นราวกับเงาผี  ดุจผีเสื้อบินร่อน


เห็นนางขวางทางโจวเฉิงอี้  ร่างทั้งสองสวนกันแวบเดียว  เข็มเงินระหว่างสองนิ้วของนาง  แทงเข้าตรงเอวโจวเฉิงอี้แผ่วเบาดั่งแมลงปอจุดน้ำ


ตุ้บ!  โจวเฉิงอี้หมดแรงล้มลงกับพื้น  ฝุ่นตลบฟุ้งกระจาย


ในเวลานี้เอง  กระแสลมหายใจเย็นเฉียบพลุ่งพล่านออกจากร่างโจวเฉิงอี้  ท่ามกลางความมืด  มันดูคล้ายมังกรสีเทาอ่อนลื่นไหล  มุดเข้าสู่ร่างของเฉินจี้


นี่เป็นความรู้สึกที่เขาไม่เคยสัมผัสมาก่อนในชีวิตสิบเจ็ดปี  กระแสเย็นนี้ช่างเหมือนวารีบนธารน้ำแข็งภูเขาหิมะ  ใสบริสุทธิ์  เย็นยะเยือก  ไหลเวียนไม่หยุดในกระแสเลือดของเขา


กระแสเย็นนี้มาจากไหน?  มาเพราะอะไร?  เฉินจี้ไม่ทราบเลย


ภาพทุกอย่างที่เห็นคืนนี้  แต่ไหนแต่ไรจะปรากฏแค่ในภาพยนตร์  โลกนี้ต่างจากโลกที่เขารู้จักโดยสิ้นเชิง!


เฉินจี้สังเกตเจียวถู่กับหยุนหยาง  พบว่าทั้งสองดูเหมือนไม่เห็นภาพเมื่อครู่  หรือว่ามีแค่ตนที่มองเห็น?


หยุนหยางเห็นโจวเฉิงอี้ไม่มีแรงต่อสู้อีกแล้ว  หันมามองเฉินจี้ด้วยความสนใจ  “เจ้าเป็นแค่เด็กฝึกโรงยา  รู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไง?”


เฉินจี้อธิบายโดยไม่ลังเล  “สารส้มใช้เป็นยาได้  มีสรรพคุณห้ามเลือด  รักษาแผลเปื่อย  ระงับปวด  ข้าจึงรู้จักพวกมันบ้าง”


“อ้อ?”  หยุนหยางหยิบสารส้มจากโหลใส่ปาก  “พอดีช่วงนี้ร้อนใน  ในปากเป็นแผล”


เจียวถู่ยืนตรงบนหลังโจวเฉิงอี้  “เวลาไหนแล้วยังมัวคุยเล่น  รีบส่งคนไปตรอกลี่จิ่ง  ถล่มร้านน้ำหวานหลี่จี้นั่นเสีย”


ทันใดนั้น  ชายชุดดำแปดคนที่เตรียมพร้อมอยู่  ได้ออกจากจวนไปขึ้นม้า  ควบตรงไปยังตรอกลี่จิ่ง


เสียงกีบม้าใสกระทบถนนแผ่นหินสีเขียวยามเที่ยงคืน  ฉีกความเงียบสงบของราตรีกาล


เฉินจี้ถาม  “ข้าไปได้หรือยัง?”


“เอ่อ...คงไม่ได้”  หยุนหยางส่ายหน้า


“คืนคำ?”


“ก็ไม่ใช่เสียทีเดียว  เมื่อครู่ข้าแค่บอกว่าเจ้าจะมีชีวิต  แต่ไม่ได้บอกว่าจะปล่อยเจ้าไป”  หยุนหยางปัดฝุ่นบนตัว  “ข้าต้องจับเจ้าเข้าคุกใน  สอบสวนให้ดีเสียก่อน”


“สอบสวนอะไร?”


“อย่างเช่น  เจ้าเป็นแค่เด็กฝึกโรงยาหลวงของจวนจิ้งอ๋อง  ทำไมถึงมาปรากฏตัวที่บ้านโจวเฉิงอี้ตอนกลางดึก?  จิ้งอ๋องสมคบกับราชวงศ์จิ่งทางเหนือผ่านโจวเฉิงอี้แล้วหรือเปล่า  คิดอาศัยกำลังราชวงศ์จิ่งก่อกบฏ?”  หยุนหยางกางมือ  “เจ้าดูสิ  ข้ามีคำถามเยอะแยะเลย”


เจียวถู่ล่อลวง  “โจวเฉิงอี้เป็นแค่ผู้ช่วยนายอำเภอเล็กๆ แต่ถ้าเจ้ากัดเอาจิ้งอ๋องลงน้ำได้  เราจะให้ความมั่งคั่งสูงศักดิ์แก่เจ้า!”


เฉินจี้ถอนหายใจเงียบงัน  ตัดพ้อว่าสถานการณ์ของตนซับซ้อนเกินคาด


ราชวงศ์จิ่งอยู่ที่ไหน?  จิ้งอ๋องคือใคร?


คนตายสมัยมีชีวิต  มีความสัมพันธ์ทางสังคมซับซ้อนขนาดนี้เชียว? 


เขาตอบว่า  “ข้ามาส่งยา  ถูกพัวพันโดยบริสุทธิ์”


เฉินจี้ตอบเช่นนี้  เพราะเขาเห็นห่อยาสองห่อเขียนว่า  ‘โรงยาไท่ผิง’  ในครัว  ห่อด้วยกระดาษสีเหลืองวางอยู่ข้างเตาหม้อทรายในครัว  ยังไม่ได้แกะ


หยุนหยางส่ายหน้า  “นั่นเป็นแค่คำพูดฝ่ายเดียวของเจ้า  ข้าเชื่อแต่คำตอบที่ผ่านการสอบสอน”


เฉินจี้เปลี่ยนประเด็น  “ท่านอยากจับบุคคลสำคัญของกรมข่าวกรองทหารราชวงศ์จิ่งคนนั้น?”


“คนที่จะไปจับเขาออกไปแล้ว”


“ไปร้านน้ำหวานที่ตรอกลี่จิ่ง  พวกท่านจับคนผู้นั้นไม่ได้หรอก  เห็นได้ชัดว่าที่นั่นเป็นแค่สถานที่หลบภัยของโจวเฉิงอี้  จะไม่มีบุคคลสำคัญกบดาน”


หยุนหยางทำหน้าครุ่นคิด  “เจ้ายังมีเบาะแสอื่นอีก?”


เฉินจี้ปิดปากเงียบ


หยุนหยางเดินมาตรงหน้าเฉินจี้  นิ้วกลางกับนิ้วชี้หนีบเข็มเงินเรียวเล็ก  แตะเบาๆ ลงบนหัวไหล่เฉินจี้


ในพริบตา  เฉินจี้รู้สึกเพียงความเจ็บปวดแสนสาหัสรุกล้ำ  ผ่านไปแค่ไม่กี่ลมหายใจ  เหงื่อก็ชุ่มเสื้อ  แต่ความเจ็บปวดนี้มาเร็วไปก็เร็ว  อีกไม่กี่ลมหายใจก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย  ราวกับเมื่อครู่เป็นเพียงภาพลวงตา


หยุนหยางพูดอย่างไม่ใส่ใจ  “วิธีการแบบนี้  ข้ายังมีอีกมาก  ท่องยุทธภพมาหลายปี  คนที่ทนเข็มข้าได้สามเข็ม  นับนิ้วมือได้เลย”


แต่เฉินจี้ยังคงปิดปากเงียบ


หยุนหยางแทงเข็มอีกครั้งใส่หลังมือเฉินจี้  ร่างเด็กหนุ่มสั่นเทิ้มไม่หยุด  แต่ไม่ส่งเสียงร้องสักแอะ


หยุนหยางแทงต่ออีกสองเข็ม  เฉินจี้ยังคงไม่ปริปาก


“ทนได้ขนาดนี้เชียว?”  หยุนหยางอุทาน


วินาทีถัดมา  เฉินจี้พลิกเศษเครื่องเคลือบออกมาจากฝ่ามือ  แล้วเลื่อนมือสั่นๆ ของตนไปปาดเส้นเลือดใหญ่ตรงคอตัวเอง!


เศษเครื่องเคลือบนั่น  ที่แท้ซ่อนอยู่ในฝ่ามือเขามาตลอด


เศษเครื่องเคลือบใกล้จะถึงคอก็หยุดกึก  หยุนหยางคว้าข้อมือเฉินจี้ไว้  “คิดจะขู่ด้วยความตาย?”


“ช่างเถิด  มัวแต่รีรอ  ความดีความชอบใหญ่จะหนีไปแล้ว”  เจียวถู่ชูสามนิ้ว  “ข้าขอสาบานด้วยเกียรติของมารดาข้า  เจ้าแค่บอกข้อมูลช่วยให้เราสองคนได้ความดีความชอบ  ข้าจะคืนอิสรภาพให้”


หยุนหยางชูสามนิ้ว  “ข้าก็ขอสาบานด้วยเกียรติของบิดามารดาข้า  หากมุสา  ขอให้พวกท่านตกนรกชั่วนิรันดร์”


เฉินจี้นิ่งเงียบไม่พูด  ครุ่นคิดถึงน้ำหนักของคำสาบานนี้


คนในยุคนี้น่าจะเชื่อโชคลาง  คำสาบานจึงมีน้ำหนักมาก...ไม่ได้  ยังไว้ใจไม่ได้


แต่หากตนแสดงฝีมือเพียงพอ  ทำให้ตัวเองมีประโยชน์มากพอ  บางทีอาจจะคุ้มเสี่ยงชีวิต? 


ในที่สุด  เขาหอบหายใจพูดว่า  “กระดาษสาพวกนั้น  ต้องมีตัวอักษรเขียนด้วยน้ำสารส้มตั้งแต่ตอนซื้อมาแล้วแน่  แปดส่วนคงเป็นลายมือบุคคลสำคัญราชวงศ์จิ่งที่ท่านพูดถึง  ลงมือเขียนด้วยตัวเอง  ดังนั้น  หากพวกท่านจะหาเบาะแสก็ไม่ควรไปตรอกลี่จิ่ง  แต่ควรหาร้านขายกระดาษสา  ร้านนี้ต่างหากที่เป็นช่องทางข้อมูลสำคัญ”


(จบตอน)  

______________
ปัจจุบันแปลถึงตอน: -
ติดตามผู้แปล : www.facebook.com/bjknovel/
#พระเอกเทพ #นิยายแฟนตาซี #qingshan

Previous Next

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตอนที่ 0001 กลับสู่ศูนย์

ตอนที่ 0007 บุพการี

ตอนที่ 0006 เพื่อนร่วมงาน