ตอนที่ 0008 เกิดวันเดือนปีเดียวกัน
ครอบครัว......
มาถึงโลกแปลกหน้านี้เพียงลำพัง เฉินจี้ได้แต่ค่อยๆ สัมผัสโลกนี้อย่างระมัดระวัง สัมผัสถึงความลึกลับและอันตรายของมัน
ทุกย่างก้าวราวกับเดินบนขอบหน้าผา อาจร่วงลงสู่นรกได้ทุกเมื่อ
คำว่าครอบครัวมีแรงดึงดูดพิเศษสำหรับเขา
เฉินจี้ตระหนักดีว่า ครอบครัวที่ว่ามา เป็นเพียงครอบครัวของร่างนี้ ส่วนตัวเขาเป็นเพียงผู้ลักลอบข้ามโลกมา หลังจากเจ้าของร่างตายไป
แต่ในใจก็อดสงสัยไม่ได้......หากบิดามารดาของเขาที่ล่วงลับไปแล้ว มาอยู่ในโลกนี้ด้วยล่ะ?
เมื่อเรียนคาบเช้าจบ เฉินจี้กับพี่น้องอีกสองคน นั่งยองล้างหน้าข้างโอ่งน้ำใหญ่มุมตะวันออกเฉียงใต้ของลานบ้าน
เขาหยิบกิ่งหลิวขึ้นมา กดไม้หลิวข้างในให้เป็นรูปแปรง เลียนแบบพี่น้องคนอื่นขัดฟันอย่างเคอะเขิน
พี่ชายร่างสูงใหญ่ที่เมื่อคืนหลับสนิท นั่งยองแยกเขี้ยวบนพื้น “วันนี้อาจารย์อารมณ์ไม่ดี อย่าไปยั่วท่านเด็ดขาดล่ะ ไม่งั้นได้เลือดตกยางออกแน่ พ่อข้ายังไม่เคยซ้อมข้าหนักขนาดนี้!”
เฉินจี้บ้วนน้ำเกลือออกจากปาก ลองถามหยั่งดู “บางที การฝึกนี้อาจมีประโยชน์?”
หลิวฉวีซิงเบ้ปาก “มีประโยชน์อันใด? ฝึกมาปีกว่าแล้วยังไม่รู้สึกอะไรเลย หรือว่าเจ้ารู้สึก?”
“ไม่” เฉินจี้ส่ายหน้า เขาแน่ใจแล้ว กระแสอุ่นเมื่อเช้า มีเพียงเขาที่สัมผัสได้
พี่ชายร่างสูงใหญ่ถามพลางแปรงฟัน “หลิวฉวีซิง เดี๋ยวแม่เจ้ามา จะเอาแผ่นแป้งทอดอร่อยๆ แบบคราวก่อนมาอีกหรือไม่?”
หลิวฉวีซิงตัวผอมกลอกตาขาว บ้วนน้ำบ้วนปาก “เซ่อเติงเค่อ เจ้าอย่ามาหมายปองของกินที่แม่ข้าส่งมา”
เซ่อเติงเค่อไม่พอใจ “เป็นพี่น้องร่วมสำนักกัน กินหน่อยจะเป็นไรไป?”
เฉินจี้หัวเราะร่า “ถูกต้อง กินหน่อยจะเป็นไรไป?”
ตอนนี้ หมอเฒ่าเหยาหิ้วไม้ไผ่ออกมาจากเรือนหลัก “ยังมีอารมณ์คุยเล่นกันอีก รอพรุ่งนี้ข้าสอบวิชาพวกเจ้า ดูซิว่าจะยังหัวเราะออกหรือไม่ ไสหัวไปท่องหนังสือที่โถงใหญ่ให้หมด”
หลังล้างหน้าแปรงฟัน สามพี่น้องยังไม่ทันได้กินข้าวเช้า ก็นั่งเรียงกันบนธรณีประตูโรงยา ต่างคนต่างถือตำราแพทย์พลิกดู
ความจริงทุกคนไม่ได้ใส่ใจหนังสืออยู่แล้ว แค่รอคอยครอบครัวมาส่งเงินส่งของกิน มีเพียงเฉินจี้ที่พลิกอ่านเงียบงัน เพราะช่องว่างที่เขาต้องเติมให้เต็ม นับว่ามากกว่าคนอื่น
เซ่อเติงเค่อกล่าว “พรุ่งนี้อาจารย์จะสอบความรู้ พี่น้องมีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ร่วมต้าน ห้ามใครแอบทบทวนเด็ดขาด ได้ยินไหม?”
หลิวฉวีซิงกลอกตา “ข้าไม่ได้พลิกหนังสือมานานแล้ว ที่อาจารย์เคยสอนก็ลืมหมดแล้ว”
เซ่อเติงเค่อหัวเราะเย็นพลางกำหมัดแน่น “เจ้าเด็กนี่ หวังว่าจะพูดความจริงนะ!”
หลิวฉวีซิงหดคอ “ทำไมเจ้าไม่ว่าเฉินจี้บ้าง เช้านี้เขาโดนไม้ไผ่น้อยที่สุด ตอนนี้ยังนั่งอ่านหนังสืออยู่เลย!”
เซ่อเติงเค่อปิดหนังสือในมือเฉินจี้ “ห้ามอ่านแล้ว พรุ่งนี้ต้องโดนโบยด้วยกัน พ่อข้าให้คนทำนายดวงมาแล้ว จะอยู่ได้ถึงเจ็ดสิบกว่าปี อาจารย์ซ้อมข้าไม่ตายหรอก!”
เฉินจี้ “......ดวงแข็งขนาดนั้นเชียว?”
ช่วงเวลาเช่นนี้ ราวกับได้ย้อนกลับไปสู่ยุคมัธยมปลายอันโหดร้ายแต่งดงาม ทุกคนโอบไหล่กันไปเรียน-กลับบ้าน เหงื่อท่วมตัวบนสนามกีฬาด้วยกัน โดนครูด่าด้วยกัน
เฉินจี้ครุ่นคิด หากมาถึงโลกนี้แล้วทุกวันเป็นแบบนี้ จะรับได้หรือไม่? ดูเหมือนก็พอรับได้
ไม่นานนัก เขาเห็นหลิวฉวีซิงพรวดพราดวิ่งออกไป รับหญิงวัยกลางคนชุดเสื้อกระโปรงสีเขียว
นางประดับปิ่นเงิน สวมรองเท้าปักลาย สง่างามอ่อนโยน มีสาวใช้ตามหลังมาด้วย
พอเห็นหลิวฉวีซิงนางก็ยิ้ม ยิ้มอย่างอ่อนโยนยิ่ง “ซิงเอ๋อร์ ช่วงนี้ไปทำให้อาจารย์โกรธบ้างหรือไม่?”
“ไม่มีๆ อาจารย์ชอบข้ามาก จะไปทำให้ท่านโกรธได้อย่างไร” หลิวฉวีซิงยิ้มร่า พลางส่งห่อผ้าให้อีกฝ่าย “แม่ นี่เสื้อผ้าข้าเปลี่ยนแล้ว กลับไปช่วยซักให้ด้วย”
เซ่อเติงเค่อนั่งบนธรณีประตูหัวเราะเย็น “ไร้สาระ โตขนาดนี้แล้วยังเก็บผ้าให้แม่ซัก!”
นางรับเสื้อผ้าไว้ ส่งกล่องไม้และห่อผ้าจากมือสาวใช้ให้หลิวฉวีซิง “ในห่อผ้ามีเงินค่าเล่าเรียนเดือนนี้ กับเสื้อผ้าไว้เปลี่ยน ในกล่องเป็นขนมที่แม่ทำให้ แบ่งให้พี่น้องกินได้”
ชั่วขณะนั้น เฉินจี้ได้ยินเสียงเซ่อเติงเค่อกลืนน้ำลายดังอึก
ทว่าหลิวฉวีซิงไม่ได้นำขนมมาให้พวกตน แต่รีบเปิดกล่องทันที ยัดแผ่นแป้งทอด ขนมถั่วเขียว เข้าปากไปทีละชิ้น
มองดูหลิวฉวีซิงยัดขนมอยู่สองเค่อ จนขนมทุกชิ้นอัดแน่นถึงคอหอย จึงคืนกล่องให้นาง “แม่ เอากล่องกลับไปด้วย”
เฉินจี้คิดในใจ ‘อ๊ะ?’
เซ่อเติงเค่อพึมพำ “บัดซบ......”
แม่ลูกคุยกันอีกครู่ หลิวฉวีซิงจึงหิ้วห่อผ้ากลับมาอย่างร่าเริง ข้ามธรณีประตูยังเรอด้วย
ผู้คนบนถนนทยอยเพิ่มจำนวน ระหว่างตึกรามเรียงรายสูงต่ำ เด็กเล็กเด็กใหญ่วิ่งไล่จับกันในตรอกซอย หญิงอุ้มกะละมังไปซักผ้าริมแม่น้ำหลัว
มีคนขับเกวียนวัวไปทางตะวันออก วัวสะบัดหางถ่ายมูล ทั้งถนนอบอวลกลิ่นหญ้าคาวปนดิน
เฉินจี้หลงใหลในบรรยากาศนี้
เซ่อเติงเค่อกับเฉินจี้รอคอยอย่างใจจดใจจ่อ จนถึงเที่ยงวัน จึงมีชายฉกรรจ์หิ้วห่อผ้ามาถึง
ชายผิวคล้ำสวมเสื้อท่อนบน กางเกงผ้าสีเทาท่อนล่าง พับแขนขึ้นถึงต้นแขนเผยรอยสักบิดเบี้ยว “น้องเล็ก!”
“พี่สาม!” เซ่อเติงเค่อตาเป็นประกายทันที
ชายคนนั้นหัวเราะสดใส “ตอนเช้าไปช่วยงานคนที่ตลาดบูรพาเลยล่าช้า เอ้า! นี่เนื้อตากแห้งสองแถวที่แม่เตรียมให้ แถวหนึ่งให้อาจารย์เจ้า อีกแถวเก็บไว้กินเอง”
“เนื้ออะไรหรือ?!” เซ่อเติงเค่อตื่นเต้นดีใจ
“วันก่อนข้ากับพี่ใหญ่เข้าป่าเจอหมูป่าตัวหนึ่ง เสียดายเป็นตัวผู้ มีกลิ่นคาวฉุนหน่อย” พี่สามตอบยิ้มๆ
เซ่อเติงเค่อยิ้มแก้มปริ “มีเนื้อกินก็ดีแล้ว จะไปสนกลิ่นคาวฉุนอะไร!”
“ไปก่อนนะ คืนนี้ตลาดบูรพามีเศรษฐีจัดงาน ข้าไปช่วยตั้งเวที ยังได้ดูละครฟรีด้วย” พี่สามว่องไว หันหลังเดินจากไปไม่อืดอาด
เซ่อเติงเค่อเดินฉับๆ กลับโรงยา หลิวฉวีซิงพิงขอบประตูพูดเปรี้ยวๆ “ข้าได้ยินว่าเนื้อหมูป่าตัวผู้มีกลิ่นฉี่......”
เฉินจี้ชื่นชม “พี่หลิว ท่านช่างเป็นหลุมดำด้านศีลธรรมของโรงยาเราจริงๆ”
เซ่อเติงเค่อถลึงตาใส่หลิวฉวีซิงเขม็ง “ลองทายดูสิ ว่าข้ากล้างัดฟันหน้าเจ้าออกไหม?”
หลิวฉวีซิงหดคอทันที เขาหันไปมองเฉินจี้ “ป่านนี้แล้วยังไม่มา ครอบครัวเจ้าคงไม่มาแล้วกระมัง?”
เฉินจี้ส่ายหน้า “ไม่ทราบ”
หลิวฉวีซิงพูดเหมือนดีใจกับความวิบัติของผู้อื่น “ขออย่าให้เป็นว่า ไม่ยอมจ่ายค่าเล่าเรียนให้เจ้าแล้วเลย เดือนละสองร้อยเหรียญสำหรับครอบครัวทั่วไปไม่ใช่เงินน้อยจริงๆ หรือไม่ก็ไปขอร้องอาจารย์ ให้ท่านผ่อนผันสักหน่อย”
เสียงเพิ่งขาด หมอเฒ่าเหยายืนหลังเคาน์เตอร์ตรวจ นับบัญชีพลางพูดช้าๆ “ธรรมะไม่ถ่ายทอดง่ายๆ วิชาไม่ขายถูกๆ อาจารย์ไม่ไปหาศิษย์ หมอไม่เคาะประตูคนไข้ ข้าสอนเฉพาะคนมีใจ หากครอบครัวเจ้าแม้แต่สองร้อยเหรียญยังเห็นว่ามาก เจ้าก็ไม่ต้องเรียนแล้ว”
“เข้าใจแล้วอาจารย์” เฉินจี้ตอบ
เซ่อเติงเค่อเกาหัว “อาจารย์ พวกเราจะเลี้ยงดูท่านยามแก่เฒ่านะ มีความรู้สึกกันบ้างสิ”
หมอเฒ่าเหยาลูบเคราเรียบ “ลูกในไส้กับพ่อผู้ให้กำเนิดยังไม่แน่ว่าจะกตัญญูจริง ข้าจะหวังพึ่งพวกเจ้าได้หรือ? รอเจ้าแก่แล้วจะเข้าใจเอง เงินต่างหากสำคัญเหนืออื่นใด ความรู้สึกเปลี่ยนได้ทุกเมื่อ อายุยืนยิ่งอัปยศมาก มีเงินจึงจะมีศักดิ์ศรี ครอบครัวพวกเจ้าให้เงินค่าเรียน ข้าก็สอนฝีมือให้ ไม่ต้องมีความผูกพันฉันอาจารย์ศิษย์มากนัก”
เฉินจี้นั่งเงียบบนธรณีประตู จากเช้าถึงเที่ยง จากเที่ยงถึงเย็น
เมื่อคืนกลับโรงยาตอนตีสาม ถูกกระแสน้ำแข็งทรมานถึงตีห้า บัดนี้ทนไม่ไหวแล้วจริงๆ เฉินจี้ถึงกับพิงขอบประตูหลับสนิท
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใด มีคนตบไหล่เฉินจี้ จนเขาลืมตาขึ้นอย่างอ่อนล้า
เซ่อเติงเค่อถือชามข้าว พลางคีบเนื้อตากแห้ง พลางพูดอ้อมแอ้ม “เฉินจี้ หรือเจ้าไปกินอะไรก่อน? ข้าจะช่วยเฝ้าแทน ครอบครัวมาเมื่อไรจะเรียกให้”
เฉินจี้ไม่ตอบ
ฝั่งตรงข้ามโรงยา ลูกจ้างร้านอาหาร โรงจำนำ ร้านข้าว ร้านน้ำมัน สลับกันออกมา ติดบานประตูทีละบานเตรียมปิดร้าน
มีลูกจ้างเห็นเฉินจี้ ก็ยิ้มทักทาย “หมอน้อยเฉิน รอคนอยู่หรือ?”
เขายิ้มตอบ “อืม”
ทว่า ครอบครัวเฉินจี้ก็ไม่มาจนแล้วจนรอด บิดามารดาบังเกิดเกล้าของเขาคงไม่ลืมนัดหมายเช่นนี้แน่
เมื่อแสงอาทิตย์อัสดงค่อยๆ ตกดิน คนเดินทางกลับบ้านก็เริ่มบางตา แสงเงาค่อยๆ จางหายไปจากใบหน้าเขา จนกระทั่งราตรีมาเยือน
เคยมีคนกล่าวว่า อย่าตื่นขึ้นในยามพลบค่ำ
ขณะนั้น เสียงระฆังแดนไกลเริ่มสงบนิ่ง ดวงอาทิตย์ก็หมุนข้ามขอบฟ้า หากแหงนมองท้องฟ้ามัวหม่น จะพบว่าไกลห่างยิ่งนัก ราวกับกำลังจากไปเพียงลำพัง
เขานึกขึ้นมาทันใด ก่อนวงล้อโชคชะตาหมุน เคยมีคนถามกับเขา
“เธอทนความโดดเดี่ยวได้หรือไม่?”
เฉินจี้ตอบตอนนั้นว่า “ได้”
......
......
แสงอาทิตย์ยามเย็นร่วงโรย สุดท้ายหายไปหลังตึกอาคารเรียงราย
เฉินจี้นั่งบนธรณีประตู มองร้านสุดท้ายฝั่งตรงข้ามปิดบานประตู คนสุดท้ายกลับบ้าน จึงลุกขึ้นยืน ปัดฝุ่นบนตัว
ชีวิตต้องดำเนินต่อไป กลับมาสู่ความเป็นจริง เขาต้องพิจารณาสถานการณ์ของตนอย่างจริงจัง
ตอนนี้ หมอเฒ่าเหยายืนหลังเคาน์เตอร์ตรวจบัญชี พูดเหยียดหยามโดยไม่เงยหน้า “เป็นไงล่ะ ครอบครัวไม่ต้องการเจ้าแล้วหรือ?”
เฉินจี้คิดในใจว่า อาจารย์ตนปากราวกับชุบพิษ เขายิ้มตอบ “อาจารย์ บางทีพวกเขาอาจติดธุระ พรุ่งนี้คงจะนำเงินค่าเรียนมาส่ง”
หมอเฒ่าเหยาหัวเราะเย็น “เจ้ามาอยู่กับข้าสองปีแล้ว อีกสองครอบครัวรู้จักนำของมาให้ข้าตามเทศกาล ครอบครัวเจ้าไม่เคยส่งอะไรมาเลย ต่อให้จ่ายเงินค่าเรียนตรงเวลา ข้าก็ไม่อยากได้ศิษย์อย่างเจ้าแล้ว”
“ขอเวลาท่านหนึ่งเดือน ถึงตอนนั้น บางทีข้าอาจจ่ายเงินค่าเรียนได้โดยไม่พึ่งครอบครัว” เฉินจี้กล่าวอย่างจริงใจ
หมอเฒ่าเหยาส่ายหน้า “สัญญาลมๆ แล้งๆ ใครบ้างพูดไม่ได้?”
เฉินจี้ครุ่นคิดครู่หนึ่ง “เงินค่าเรียนเดือนละสองร้อยเหรียญ ท่านผ่อนผันให้ข้าหนึ่งเดือน ต่อไปข้าจะจ่ายเดือนละสองร้อยสี่สิบเหรียญ”
หมอเฒ่าเหยาใคร่ครวญครู่หนึ่ง หยิบเหรียญทองแดงจากแขนเสื้อโยนหกครั้ง หลังทำนายเสร็จกล่าวเรียบๆ “มีความจริงใจปนอยู่บ้าง......แต่เจ้าเป็นเพียงเด็กฝึกที่ยังไม่มีสิทธิ์เก็บค่ารักษา จะไปหาเงินจากไหน?”
“ข้าจะหาทาง”
“เฮอะ! พูดใหญ่โตนัก เจ้าตอนนี้เป็นแค่เด็กฝึก จับชีพจรยังไม่แม่น จะเอาอะไรไปหาเงิน?” หมอเฒ่าเหยาสีหน้าลูกคิดพลางหัวเราะเยาะ
หลิวฉวีซิงที่ดูความสนุกอยู่ข้างๆ ถึงคราวแสยะยิ้ม “เฉินจี้ ให้ข้าช่วยเจ้าสักหน่อยไหม?”
“พี่หลิวจะช่วยอย่างไร?” เฉินจี้ถาม
“พวกเราสามคนผลัดกันทำงาน พรุ่งนี้ถึงคิวข้าหาบน้ำ กวาดลาน ถูพื้นโถงใหญ่ หากเจ้าช่วยถูพื้นให้ จะให้สองเหรียญ หากช่วยกวาดลานให้ จะให้หนึ่งเหรียญ หากช่วยหาบน้ำเติมโอ่งเต็ม จะให้สองเหรียญ แม้ไม่มาก แต่อย่างน้อยเดือนหนึ่งก็ได้ห้าสิบเหรียญ”
ชนชั้นในหมู่เด็กฝึก ชัดเจนขึ้นมาทันที
เฉินจี้ “ได้ ข้าจะช่วยพี่หลิวทำงาน”
เซ่อเติงเค่อมองหมอเฒ่าเหยา “อาจารย์ เหมาะสมหรือ?”
“ขอแค่จ่ายเงินค่าเรียนให้ข้าครบก็เหมาะสม” หมอเฒ่าเหยากล่าวเรียบๆ
เซ่อเติงเค่อมองเฉินจี้ “เจ้าไม่โกรธหรือ? ไอ้หลิวฉวีซิงมันเอาเจ้าเป็นคนรับใช้แล้ว”
เฉินจี้ยิ้มพูด “พี่หลิวก็กำลังช่วยข้าอยู่”
“พี่หลิวบ้าอะไร พวกเราสามคนเกิดวันเดือนปีเดียวกัน แม้แต่เวลาก็เหมือนกัน เขาจะเป็นพี่ได้ด้วยอะไร?” เซ่อเติงเค่อพูดดูหมิ่น
เฉินจี้ชะงักไป หมอหลวงคัดเลือกเด็กฝึก เหตุใดต้องเลือกคนที่มีดวงชะตาเหมือนกันสามคน?
(จบตอน)
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น