ตอนที่ 0035 ข้ามน้ำรื้อสะพาน



ในวังชั้นใน  สิบสองสำนัก  สี่กรม  แปดกอง  รวมเรียกว่า 24 หอขุนนางแห่งวังหลวง


สำนักพิธีการนับเป็นอันดับหนึ่งใน 24 หอขุนนาง  อยู่ใต้การปกครองของขันทีใหญ่ผู้ถือตรา  อำนาจวังชั้นในแทบทั้งหมดรวมอยู่ในกำมือคนคนเดียว


จักรพรรดิหนิงทรงมุ่งบำเพ็ญเต๋า  ไม่ขึ้นว่าราชการหลายปี  แม้แต่ฎีกาของขุนนางนอกวัง  ก็ต้องให้สำนักพิธีการทูลเกล้าแทน


เนื่องด้วยขันทีใหญ่ผู้ถือตราบริหารบ้านเมืองเป็นระเบียบเรียบร้อย  จักรพรรดิหนิงจึงพระราชทานอาคารหลังหนึ่ง  ตั้งชื่อว่า  ‘เจี่ยฝาน’ (ขจัดปัญหา) เพื่อสรรเสริญความดีความชอบของสำนักพิธีการ


ยามเที่ยงวัน  อู๋ซิ่วค้อมกายอย่างนอบน้อม  ถอยหลังออกจากเงามืดของหอคอย


กระทั่งแสงอาทิตย์ส่องถึงตัว  มังกรแดงบนอาภรณ์จึงสว่างสดใสขึ้นมาอีกครั้ง


เขาค่อยๆ ผ่อนลมหายใจ  ยืดกายตรง  เดินฉับๆ มุ่งหน้าไปยังโรงนกพิราบ


ตลอดทาง  เหล่าขันทีเห็นชุดมังกรแต่ไกล  ต่างคุกเข่าคำนับ  แต่อู๋ซิ่วเดินตามองตรง  ไม่แลเหลียวแม้แต่น้อย


ถึงโรงนกพิราบ  เขาไล่ขันทีน้อยที่กำลังทำความสะอาดกรงนกออกไป  แล้วหยิบพู่กันเขียนข้อความลงบนกระดาษแผ่นหนึ่งตรงโต๊ะ


เขาพินิจข้อความแล้วข้อความแล้วเล่า  ตรวจลายมือให้แน่ใจ  ความหมายถูกต้องไม่ผิดเพี้ยน  จึงค่อยม้วนใส่กระบอกไม้ไผ่เล็กๆ ด้วยความระวังยิ่ง


อู๋ซิ่วเดินมาหน้ากรงนกที่จารึกคำว่า  ‘เมืองหลัว’  ล้วงมือเข้าไปจับนกพิราบตัวหนึ่ง  ผูกกระบอกไม้ไผ่เข้ากับขานกอย่างแน่นหนา  แล้วปล่อยนกขึ้นสู่ท้องฟ้านอกประตู


เขามองนกบินไปไกล  ไม่รู้ว่าในใจคิดอะไรอยู่


ขันทีน้อยคนหนึ่งรีบเดินมา  “พ่อบุญธรรม  ฝ่าบาทเรียกพบ  บอกว่าปรมาจารย์เต๋าแห่งเขาหวง  พาศิษย์เอกจางหลี่มาแล้วขอรับ”


อู๋ซิ่วพยักหน้า  “รู้แล้ว”


เขามองนกพิราบบินขึ้นฟ้า  วนรอบเมืองหลวงหนึ่งรอบ  จึงบินลงใต้  พลางเอ่ยอย่างเหม่อลอย  “นกบนฟ้าช่างมีอิสระเสียจริง”


ขันทีน้อยรีบยิ้มประจบ  “พ่อบุญธรรมจะไปอิจฉานกทำไม  เมื่อท่านขึ้นแทนที่ได้  ก็จะอยู่ใต้คนเดียวเหนือหมื่นคน  อิสระกว่ามันมากนักขอรับ”


อู๋ซิ่วเหลือบมองอย่างเย็นชา  แววตาราบเรียบดุจน้ำนิ่ง  กลับทำให้ขันทีน้อยสั่นสะท้าน  “พ่อบุญธรรม  ข้าบังอาจปากเสีย”


“คราวหน้าถ้าทำอีก  ก็จงไสหัวไปผ่าฟืนที่กองฟืนถ่านเสีย”  อู๋ซิ่วชักชายเสื้อข้ามธรณีประตู  เร่งฝีเท้าไปยังพระที่นั่งเหรินโส่ว ณ ตำหนักประจิม


นกพิราบสีเทาบนฟ้า  บินออกจากพระราชวังอันกว้างใหญ่  บินพ้นแคว้นรอบเมืองหลวง  ผ่านเมฆหมอกและทุ่งราบ  ข้ามแม่น้ำและขุนเขา


คืนแรก  นกพักที่สถานีนกพิราบเมืองเฮ่อปี้


วันที่สอง  บินตรงลงใต้  จนวันที่สามยามเช้า  มาถึงบ้านเล็กๆ หลังหนึ่งในเมืองหลัว


ในลานบ้าน  หน่วยสืบลับชุดดำกำลังยืนอยู่หน้าแผนที่ทราย  บนแผนที่เป็นภูมิประเทศของคฤหาสน์ตระกูลหลิวกับสุสานบรรพชน


หยุนหยางเห็นนกพิราบวนเวียนบนฟ้า  จึงกำข้าวโพดชูมือขึ้น  นกจึงกระพือปีกลงมาเกาะบนฝ่ามือ


“เจียวถู่!  จดหมายจากเมืองหลวงมาแล้ว”  หยุนหยางร้องเรียก


เจียวถู่ตอบจากข้างใน  “รีบแกะดูซิว่าอัครเสนาบดีฝ่ายในว่าอะไร”


หยุนหยางแกะขี้ผึ้งแดง  ดึงกระดาษออกมา  “อู๋ซิ่วส่งสารแทนอีกแล้ว  ข้าจำลายมือเขาได้……อู๋ซิ่วบอกว่า  ให้เราตัดสินใจเองว่า  จะเรียกองครักษ์เจี่ยฝานไปเปิดโลงตรวจศพหรือไม่”


เจียวถู่เดินออกมาพิงกรอบประตู  “น่ารำคาญชะมัด  ถ้าเกิดเรื่อง  เราสองคนก็เป็นแพะรับบาป  จะทำไงดี  ลงมือต่อไหม?”


“อัครเสนาบดีฝ่ายในไม่ห้าม  แสดงว่าอยากให้เราลงมือ  แต่ถ้าสำเร็จก็ได้บุญใหญ่  ถ้าพลาด……เบาสุดก็เนรเทศไปหลิ่งหนาน”  หยุนหยางยืนครุ่นคิดกลางลาน


เจียวถู่กลอกตาขาว  “นักโทษหลิ่งหนานอย่างน้อยแปดร้อยคนเป็นฝีมือเราจับส่งไป  เราสองคนไปถึงจะเอาตัวรอดได้รึ?”


“กลัวอะไร  เราเป็นสิงกวนนะ”  หยุนหยางว่า


“สิงกวนที่เราส่งไปหลิ่งหนานก็หลายสิบคนแล้ว!”


“ครอบครัวพวกมันยังอยู่ในมือเรา  ไม่กล้าเอาเรื่องหรอก  ด้วยสายสัมพันธ์เรากับอัครเสนาบดีฝ่ายใน  ถึงเนรเทศไปก็ไม่ลำบาก……เดี๋ยวสิ  ทำไมถึงพูดเหมือนเราต้องถูกเนรเทศแน่ๆ เลยล่ะ?  คราวนี้ไม่พลาดหรอก  ตระกูลหลิวรอถูกริบทรัพย์ปรับโทษได้เลย!”  หยุนหยางหัวเราะร่า


เจียวถู่เอียงคอมองกระดาษ  “อัครเสนาบดีฝ่ายในสั่งอะไรอีกไหม?”


หยุนหยางก้มอ่านกระดาษอีกครั้ง  ครู่หนึ่งสีหน้าเปลี่ยน  “อู๋ซิ่วให้เราส่งข้อมูลคนสวมหน้ากากที่คฤหาสน์หลิวเสินหยูไปให้เขา!”


“หา?  ต้องเป็นหลินเฉาชิงฟ้องแน่ๆ!  พวกกรมอาญานี่  รู้แต่ฟ้องทั้งวัน!”  เจียวถู่โกรธเคือง  “...แต่ถ้าเฉินจี้เป็นหน่วยสืบลับได้  ก็ช่วยเราสร้างความดีความชอบได้นะ  ดึงมาเป็นลูกน้องเราสิ”


หยุนหยางส่ายหน้า  “ไม่ได้...เจ้าว่าเฉินจี้เป็นคนแบบไหน?”


เจียวถู่ครุ่นคิด  “...ตอนเขาคิดอะไรไม่พูด  ก็ดูเป็นคนเอาการเอางานอยู่”


“ข้าไม่ได้หมายถึงอันนั้น!”  หยุนหยางขมวดคิ้ว  “คืนนั้นที่จวนโจว  เขาเชือดคอพ่อบ้านจวนโจวเพื่อเอาชีวิตรอด  ข้าดูออกว่าตอนนั้นเขายังไม่ชำนาญ  ในตายังมีความลังเล  แต่ตอนนี้ล่ะ?  แค่ไม่กี่วัน  ข้าแขวนคอคนตายในคุกใน  เขายังจ้องตรงๆ ได้อย่างสงบนิ่ง”


หยุนหยางมองเจียวถู่อย่างจริงจัง  “เจียวถู่  เขาเป็นคนผูกใจเจ็บ  ไม่มีวันลืมหรอกว่าเราทำอะไรกับเขาบ้าง  เสนาบดีฝ่ายในชอบคนฉลาดไม่เลือกวิธีแบบนี้  ถ้าวันใดเขาปีนสูงกว่าเรา  เมื่อนั้นเจ้ากับข้าไม่รอดแน่”


เจียวถู่ครุ่นคิดครู่หนึ่ง  “งั้นฆ่าเขาเสีย?  ยังไงคดีตระกูลหลิวไม่ต้องใช้เขาอยู่แล้ว  แต่หากเสนาบดีฝ่ายในรู้เข้า  ต้องสืบสาเหตุการตายแน่  ไม่ว่าจะเป็นเสวียนเซ่อ (งูดำ) หรือจินจู (สุกรทอง)  เราปิดบังไม่ได้แน่นอน”


หยุนหยางส่ายหน้า  “เพราะงั้น  เราถึงลงมือเองไม่ได้  ต้องยืมมีดคนอื่นฆ่า”


“แล้วจะทำไงต่อ?”


“เจ้าเอาตราอ๋องไปเรียกองครักษ์เจี่ยฝาน  ข้าไปยืมมีด  ได้หรือเสียอยู่ที่วันนี้”


เช้าเมืองหลัว  ฟ้าใสลมเย็น  วันที่เก้าเดือนเก้า  ชงลิง  เหนือร้าย  เหมาะแก่การเดินทาง  แต่งงาน  สักการะ  รักษาโรค  ฆ่าคน


......


......


โรงยาไท่ผิง


สามพี่น้องพิงประตูโรงยา  มองผู้คนที่ผ่านไปมาอย่างยิ้มแย้ม


เทศกาลฉงหยางใกล้เข้ามา  ครอบครัวมั่งคั่งอัญเชิญพระโพธิสัตว์แห่ขบวนปัดเป่าเภทภัย  พ่อค้าเศรษฐีแจกขนมฉงหยางตามบ้านเรือน


โรงเหล้าตั้งป้ายเหล้าดอกเก๊กฮวงหน้าร้าน  พ่อค้าเร่ขายถุงผ้าแดง  ซื้อถุงหนึ่งแถมจูหยูหนึ่งกิ่ง


เฉินจี้ถอนใจ  “เทศกาลฉงหยางคึกคักจริงๆ”


บ้านเกิดในอดีตของเขา  บรรยากาศเทศกาลจางหายไปนานแล้ว  ตรุษจีนห้ามจุดประทัด  เทศกาลไหว้บ๊ะจ่างกับไหว้พระจันทร์ก็กลายเป็นงานรื่นเริงทางการค้า


เดี๋ยวนะ……เฉินจี้ถามขึ้นทันใด  “เทศกาลฉงหยางมีที่มาอย่างไร?”


หลิวฉวีซิงตอบแบบไม่ใส่ใจนัก  “นี่เจ้าไม่รู้เหรอ?  สมัยราชวงศ์ฮั่นบูรพา  แคว้นอวี้กับหรู่หนานเกิดภูตโรคระบาด  ชายนามว่าหวนจิ่งไปขอพบเซียน  ‘เฟ่ยฉางฝาง’  เฟ่ยฉางฝางมอบเหล้าดอกเก๊กฮวงหนึ่งหม้อ  จูหยูหนึ่งกิ่ง  สั่งให้วันที่เก้าเดือนเก้าพาครอบครัวขึ้นเขาหนีภัย  ปีศาจร้ายเข้าไม่ถึง  พอพ้นวันที่เก้าเดือนเก้า  หวนจิ่งพาครอบครัวลงเขา  พบว่าวัวควายในบ้านตายยกคอก  พวกเขารอดมาได้”


เฉินจี้นิ่งค้างไป  บ้านเกิดของเขาก็มีตำนานเทศกาลฉงหยางแบบนี้เหมือนกัน


ราชวงศ์ฮั่นบูรพาเหมือนกัน  เฟ่ยฉางฝางกับหวนจิ่งเหมือนกัน


หากว่าท้องฟ้ามีพระจันทร์พระอาทิตย์ดวงเดียวกัน  เขายังพอรับได้  แต่ตำนานนิทานก็เหมือนกันด้วย  เขาต้องคิดให้ลึก  


เพราะเหตุใด?


สองโลกมีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร?


ขณะกำลังครุ่นคิด  ก็เห็นชุนหวาจากตำหนักหวั่นซิงนำคนรับใช้กำยำสองคน  หิ้วปิ่นโตสี่ใบเดินมาตามถนน


เซ่อเติงเค่อตาเป็นประกาย  “ชุนหวา  เจ้ามาได้ไง?”


ชุนหวาสวมหรูฉวินสีเขียวอ่อน  ชายกระโปรงปักดอกเก๊กฮวงทองตามเทศกาล  นางชักชายกระโปรง  ยิ้มหวานว่า  “นี่ก็เทศกาลฉงหยางแล้ว  นายหญิงข้าใช้มาส่งขนมให้โรงยาเจ้าค่ะ”


หลิวฉวีซิงรีบรับกล่องขนมจากมือคนใช้  “แม่นางชุนหวาใจดีจริง  คราวก่อนกินขนมตำหนักหวั่นซิงตอนเทศกาลโคมไฟ  ถึงตอนนี้ยังลืมไม่ลง”


ชุนหวาเปลี่ยนเรื่อง  หันมายิ้มให้เฉินจี้  “วันนี้นายหญิงข้าว่างพอดี  อยากเชิญท่านหมอโรงยาไปดื่มน้ำชาคุยเล่น  ไม่ทราบว่าเป็นไงบ้าง”


เซ่อเติงเค่อรีบตอบ  “ดีเลย!”


แต่ขณะนั้น  หางตาเฉินจี้เหลือบเห็นอูหยุนไม่รู้มาตั้งแต่เมื่อไร  เกาะอยู่บนชายคาฝั่งตรงข้าม  หอบหายใจหนัก


อูหยุนร้องเมี้ยว  มีเฉินจี้เท่านั้นที่ฟังเข้าใจ  “มีคนบอกจิ้งเฟยว่า  เจ้าคือคนสวมหน้ากากในบ้านหลิวเสินหยู  นางจะฆ่าเจ้า!”


เฉินจี้ใจหนาวเยือก  รู้สึกถึงวิกฤตใหญ่หลวงทันที


ใครกันแน่ที่บอกตัวตนของเราให้จิ้งเฟย?


คงไม่แคล้วต้องเป็นหยุนหยางกับเจียวถู่  มีแค่สองคนนี้รู้ตัวจริงของเขา


หรือว่าคดีตระกูลหลิวกำลังจะได้ปลาใหญ่  พวกนั้นคิดว่าไม่ต้องใช้เขาแล้ว  จะข้ามน้ำรื้อสะพาน?


เฉินจี้สีหน้าไม่เปลี่ยน  หันมองชุนหวา  ยิ้มถาม  “แม่นางชุนหวา  นายหญิงจิ้งเฟยเชิญพวกเราไปด้วยเหตุใด?”


ชุนหวาอธิบาย  “คราวก่อนต้องขอบคุณท่านช่วยหาถ้วยนั่น  ไม่งั้นนายหญิงคงต้องใช้มันดื่มน้ำต่อไป  นายหญิงบอกตั้งนานแล้วว่าจะตอบแทนให้  แต่ติดธุระอื่น  วันนี้เพิ่งว่าง”


แต่ในความเป็นจริง  เฉินจี้ไม่ได้ถามชุนหวา  หากแต่เป็นอูหยุน  จิ้งเฟยจะฆ่าข้าทำไม?


อูหยุนร้องเมี้ยวอีก  “จิ้งเฟยเป็นคนตระกูลหลิว  หลิวเสินหยูเป็นลูกชายคนเดียวของพี่สาวนาง  วันก่อนนางออกจากจวนอ๋อง  ก็กลับไปไว้อาลัยผู้เฒ่าหลิวที่บ้านตระกูลหลิว!”


ที่แท้บุคคลสำคัญในจวนอ๋องที่สมคบกับกรมข่าวกรองราชวงศ์จิ่ง  ไม่ใช่หยุนเฟย  แต่เป็นจิ้งเฟย!


แต่ถ้าจิ้งเฟยเป็นคนใหญ่คนโตนั่น  ทำไมตอนแรกถึงต้องการฆ่าเรา  หรือนางไม่รู้ว่าเราเป็นสายลับราชวงศ์จิ่ง?


แปลก  แปลกยิ่งนัก!


ชุนหวาเห็นเฉินจี้นิ่งไม่ตอบ  จึงโบกมือตรงหน้า  “เฉินจี้?  คิดอะไรอยู่”


เฉินจี้นำสติกลับมา  ยิ้มบอกชุนหวา  “ต้องขออภัยเป็นอย่างสูง  วันนี้เทศกาลฉงหยาง  อาจารย์อนุญาตให้กลับบ้านพบครอบครัว  รบกวนช่วยกราบทูลจิ้งเฟยด้วย  คราวหน้าไม่พลาดแน่นอน”


พูดจบ  ไม่สนใจความฉงนของทุกคน  เขาเดินออกจากโรงยาไม่เหลียวหลัง


จิ้งเฟยแก้แค้นไม่เลิกราแน่นอน  ถึงคราวนี้พลาด  คราวหน้าต้องมาอีก


เฉินจี้ไม่รู้ว่าครั้งหน้าตนจะหลบพ้นได้ง่ายๆ หรือไม่  แต่เขารู้ว่า  ตนแก้แค้นแค่ครั้งเดียวก็พอ


เขาพึมพำกับตัวเองเบาแผ่วเบา  “จะทันไหมนะ…”


(จบตอน)  


______________
ปัจจุบันแปลถึงตอน: 0039
ติดตามผู้แปล : www.facebook.com/bjknovel/
#พระเอกเทพ #นิยายแฟนตาซี #qingshan

Previous Next

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตอนที่ 0001 กลับสู่ศูนย์

ตอนที่ 0007 บุพการี

ตอนที่ 0010 ตำหนักหวั่นซิง