ตอนที่ 0037 เวลานัดหมาย



เทศกาลฉงหยาง  ทั่วทั้งเมืองต่างร่วมฉลอง


ฝูงชนพากันแออัดล้อมโอรสอ๋องกับธิดาอ๋องขณะเสด็จกลับจวน  มีราษฎรถือไข่และผักมาถวาย  อีกทั้งหญิงสาวที่ยืนริมทางต่างก็โปรยดอกไม้ใส่โอรสอ๋อง


มิเพียงโอรสอ๋องเท่านั้นที่ได้รับความนิยม  แม้แต่บุตรชายทั้งสองแห่งตระกูลเฉิน  ก็มีกลีบดอกไม้ปลิวว่อนเต็มตัว  ราวกับดอกไม้ปูทาง  นกกางเขนสร้างสะพาน


เฉินจี้มองเห็นเณรน้อยรูปหนึ่งร่วมขบวน  อายุราวสิบสามสิบสี่  สวมจีวรสีขาวดุจแสงจันทร์  ริมฝีปากแดง  ฟันขาว  หน้าตางามสง่า  คาดว่าคือองค์พุทธบุตรที่อูหยุนเคยเอ่ยถึง  มาจากนิกายเก๋อหนิงแห่งแคว้นหยุน


ขณะที่องค์พุทธบุตรขี่ม้าผ่านมา  กลับหันมามองเฉินจี้  ตอนแรกชะงักไปครู่หนึ่ง  แล้วจึงยิ้มให้เขา


ในขบวน  แม่นางขี่ม้าขาวคนหนึ่งถามด้วยความสงสัย  “เณรน้อย  ท่านมองใครอยู่หรือ”


นางมองตามสายตาของเณรน้อยไป  แต่ใต้ชายคานั้นไร้ซึ่งร่างคน


เณรน้อยยิ้มตอบ  “ธิดาอ๋องไป๋หลี่  อาตมาเห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่ง  ในใจขมขื่นนัก  แต่ได้ตัดโจรได้สองตัวแล้ว  เหลือเพียง  ‘หลง’  ตัวเดียวในใจ”


“อะไรนะ?”  จูไป๋หลีงุนงง  “ท่านเอาแต่พูดเรื่องลึกลับน่าปวดหัว  โจรสองคนคืออะไร”


“อาตมาพูดไปอย่างนั้นเอง”


เฉินจี้เดินตามฝูงชนกลับมาถึงโรงยา  หมอเฒ่าเหยายืนอยู่ภายในธรณีประตู  มองดูหนุ่มน้อยอาภรณ์งามบนหลังม้าที่กำลังใช้กีบเคาะพื้นถนน  พลางกล่าวอย่างเนิบนาบ  “นั่นพี่ชายแท้ๆ ทั้งสองของเจ้าไม่ใช่หรือ?  เหตุใดไม่ไปทักทาย”


เฉินจี้ยิ้มตอบ  “ท่านอาจารย์รู้อยู่แก่ใจยังจะถาม  พวกเขาจำข้าไม่ได้สักหน่อย”


หลิวฉวีซิงยื่นหน้าเข้ามา  ร้องอย่างตกใจ  “อาจารย์  ท่านหมายถึงเฉินเวิ่นจงกับเฉินเวิ่นเสี้ยวที่อยู่ข้างโอรสอ๋องนั่นหรือ  พวกเขาเป็นถึงบุตรชายของรองเจ้าเมืองหลัวเชียวนะ  ข้าเคยเจอในงานเลี้ยงวันเกิดคุณปู่หลิวด้วย……ท่านว่าทั้งสองเป็นพี่ชายแท้ๆ ของเฉินจี้หรือ?”


หมอเฒ่าเหยาฮึ่มเสียงในลำคอ


คนในโรงยามองไป  เห็นบุตรชายสองคนตระกูลเฉิน  สวมอาภรณ์ขาวตัดเย็บประณีต  เพียงแค่หยกห้อยปกเสื้อก็ราคาแพงลิ่ว  ที่ปักผมไม่ใช่ปิ่นไม้ปิ่นเงิน  หากเป็นปิ่นหยกขาว  ช่างเป็นอนุชนรูปงาม  มองแล้วตาแทบจะพร่า


หลิวฉวีซิงจ้องมองทั้งสองคน  แล้วหันมาดูเฉินจี้  เห็นเขาที่เปลี่ยนมาใส่เสื้อคลุมผ้าเทา  ดูเหมือนเพิ่งปะชุนเสร็จ  คาดเข็มขัดผ้าหยาบ  เท้าสวมรองเท้าผ้าเก่า...


“เฉินจี้  เจ้ากับพวกเขาเป็นครอบครัวเดียวกันจริงหรือ?”  หลิวฉวีซิงตกตะลึง


เฉินจี้ฮึ่มเสียงในลำคอเช่นกัน


เขานึกว่า  หลิวฉวีซิงผู้ไร้คุณธรรมจะถือโอกาสเหน็บแนมตน  ไม่คิดว่าอีกฝ่ายกลับโกรธแทนเขา  “แม่เลี้ยงของเจ้าลำเอียงเกินไปแล้ว  ทุกวันนี้แม้บุตรนอกสมรสจะสืบทอดกิจการไม่ได้  ก็ยังต้องรักษาความสามัคคีพี่น้อง  ความเมตตาแม่ลูก  นางทำเช่นนี้ไม่กลัวคนนินทาลับหลังหรือไร”


เฉินจี้มองหลิวฉวีซิงด้วยความประหลาดใจ


ได้ยินหลิวฉวีซิงพูดต่อด้วยความโกรธ  “หลายปีมานี้  เจ้าไม่เคยพูดถึงภูมิหลัง  ข้านึกว่าบ้านเจ้าเป็นแค่ชาวนาเช่า  เจ้ารู้ไหม  เพียงหยกห้อยปกเสื้อของพวกเขาชิ้นเดียว  ก็พอจ่ายค่าเล่าเรียนของเจ้าได้สิบปีแล้ว”


เฉินจี้ยิ้มพลางตบไหล่หลิวฉวีซิง  “พี่ชาย  อย่าโกรธแทนข้าเลย  แค่นี้ก็ซาบซึ้งใจมากแล้ว”


หลิวฉวีซิงไม่พอใจ  “พูดอะไรของเจ้า?  ยังไงพวกเราก็เป็นศิษย์พี่น้อง  พวกนั้นต่างหากที่เป็นคนนอก”


พูดไปพลางเหลือบมองหลังคนกลุ่มนั้น  “เฮอะ!  คนมากมายรายล้อม  ยังกับพวกมดขนของ”


เฉินจี้ขำจนน้ำตาจะไหล  “ปากพี่ชายนี่  ได้ฝีมืออาจารย์มาห้าส่วนแล้ว”


หลิวฉวีซิงหันไปหาหมอเฒ่าเหยา  “อาจารย์  เขาด่าท่านด้วย”


หมอเฒ่าเหยาตบท้ายทอยเขา  “มีแต่เจ้าที่ชอบยุแหย่  อย่าไปมองเลย  นั่นเป็นอีกโลกหนึ่ง  ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเจ้า”


ทุกคนกลับเข้าโรงยา  เฉินจี้ยิ้มพูด  “เมื่อครู่ผ่านร้านไก่ย่าง  ข้าซื้อมาสองตัว  อาจารย์  พี่ชายทั้งสอง  มากินด้วยกันเถิด”


“ว้าว!”  หลิวฉวีซิงเพิ่งสังเกตเห็นห่อใบบัวในมือเฉินจี้  เขารับไปแกะบนโต๊ะบัญชี  “เฉินจี้  เจ้ารวยแล้วหรือ?”


“ข้าเก็บเศษเงินได้”  เฉินจี้อธิบาย


“เก็บเงิน?”  หมอเฒ่าเหยาโยนเหรียญทองแดงหกเหรียญลงบนโต๊ะบัญชี  ทำนายไปพลางเย้าหยันไปพลาง  “เจ้าไม่ได้เก็บเงินหรอก  เจ้าออกไปคราวนี้  หลอกให้คนโชคร้ายสองคนต้องติดคุกติดตะราง……ชิชะ!  ฝีมือใหญ่โตนัก”


เฉินจี้รีบมองรอบข้าง  เห็นหลิวฉวีซิงกับเซ่อเติงเค่อกำลังตั้งอกตั้งใจกินไก่อยู่  จึงคลายใจ


เขากระซิบอย่างสงสัย  “ท่านทำนายออกมา  หรือว่าอีกาเห็นมา”


“เรื่องนี้เจ้าอย่าสน”  หมอเฒ่าเหยาเอ่ยเสียงเข้ม  “ข้าถามเจ้า  จริงหรือไม่ที่เจ้าไปแจ้งข่าวให้ตระกูลหลิว”


เฉินจี้เงียบไปครู่หนึ่ง  สุดท้ายตอบว่า  “ข้าเอง”


หมอเฒ่าเหยาหัวเราะในลำคอ  “ทำไมตอนนี้ถึงกล้าพูดความจริงกับข้า”


“เพราะข้ารู้สึกว่าท่านไม่มีเจตนาร้ายต่อข้า  อีกทั้งต่อไปภายภาคหน้า  ข้าจะถือว่าโรงยาเป็นบ้าน  ท่านจะเป็นผู้อาวุโสเพียงคนเดียวของข้า”


“อย่ามาทำตัวดีกับข้า”  หมอเฒ่าเหยาไม่รับคำ  “มีใครรู้บ้างไหมว่าเจ้าเป็นคนไปแจ้งข่าว”


“ไม่มี”


“ดีแล้ว”  หมอเฒ่าเหยาลูบเคราตน  “เจ้าอยากทำอะไรก็ทำไป  ขาเป็นของเจ้า  ข้าเป็นใครจะไปห้ามได้  แต่อย่าลากข้าลงน้ำด้วยก็พอ”


“ขอรับ!”


หมอเฒ่าเหยามองเขา  สุดท้ายเสริมอีกประโยค  “ถ้าอยากมีชีวิตยืนยาว  ทำอะไรอย่าโอ้อวด  เจ้าดูคนข้างนอกนั่นสิ  อาภรณ์งาม  ม้าเกือกเคาะดิน  ย่อมน่าภาคภูมิ  แต่คนที่หากินเงียบๆ ต่างหากที่จะได้หัวเราะทีหลัง  ภายหน้าเจ้าจะรู้เอง  ขอเพียงเจ้ามีชีวิตนานพอ  ก็จะได้เห็นศัตรูตายไปทีละคนสองคนต่อหน้า” 


เฉินจี้กล่าวด้วยใจจริง  “อาจารย์  หลักการที่ท่านสอนนี้ข้าเข้าใจดี  และจะพยายามเก็บตัวให้มิดชิดที่สุด  แต่การล้างแค้นของข้ารอนานขนาดนั้นไม่ได้...”


ขณะนั้น  หลิวฉวีซิงกำลังแทะเนื้อไก่  พลางใช้ปากมันเยิ้มของตนเอื้อนเอ่ยตักเตือน  “เฉินจี้  เจ้าไม่รู้จักวางแผนชีวิตเลย  เก็บเศษเงินได้หน่อยก็รีบซื้อไก่ย่างกิน  ไม่รู้จักเก็บออมเลย”


เซ่อเติงเค่อด่าพึมพำ  “ถ้างั้นเจ้าก็อย่ากินสิ  กินของเขาแล้วยังจะมาพูดมาก!”


“ข้าแค่เตือนด้วยความหวังดีเอง!”


เฉินจี้มองหลิวฉวีซิง  พี่ชายผู้นี้เป็นคนน่าสนใจคนหนึ่ง  หากจะบอกว่าเขาเป็นคนดี  มาตรฐานศีลธรรมของเขาก็ถือว่าไม่สูง  ปากจัด  ใจแคบ


หากจะบอกว่าเขาเป็นคนเลว  ในใจเขาก็ยังมีเส้นแบ่งอยู่  ดีกว่าคนชั่วช้ามากนัก


ทว่าในโลกนี้  คนส่วนใหญ่ก็เป็นเหมือนเขา  ไม่อาจตัดสินได้ตรงๆ ว่าดีหรือชั่ว


เฉินจี้ฉีกขาไก่ข้างหนึ่งยื่นไปตรงหน้าอก  อูหยุนโผล่ออกมาจากอกเสื้อ  ใช้อุ้งเท้าทั้งสองกอบขาไก่แทะทันที  เฉินจี้ฉีกขาไก่อีกข้างส่งให้หมอเฒ่าเหยา


หมอเฒ่าเหยาเบ้ปาก  ทำท่าถือตัว  “อายุมากแล้ว  กินของมันๆ แบบนี้ไม่ไหวหรอก”


เฉินจี้ยัดขาไก่ใส่มือท่านทันที  “ตอนท่านใช้ไม้ไผ่ฟาดพวกเรา  ยังกระฉับกระเฉงนักเชียว  ไม่แก่เลยสักนิด  รีบกินเถอะขอรับ”


หมอเฒ่าเหยาเป่าหนวดถลึงตา  “กล้าพูดกับอาจารย์แบบนี้  ไม่รู้จักผู้ใหญ่ผู้น้อย!”


นอกโรงยาเสียงผู้คนอึกทึก  ภายในโรงยาอาจารย์ลูกศิษย์สี่คนแบ่งไก่ย่างตัวหนึ่งกิน  เฉินจี้บางครั้งก็คิดว่า  หากใช้ชีวิตสงบสุขแบบนี้ไปตลอดได้  ก็คงจะดีไม่น้อย


แต่เขารู้ดี  สิ่งที่ต้องมาย่อมต้องมา  ไม่ช้าก็เร็ว


......


......


ขณะนั้น  แม่นางซีปิ่งใช้นิ้วงามจีบชายกระโปรง  กระโดดโลดเต้นมาถึงหน้าประตูโรงยา  แม่นางผู้นี้เมื่ออยู่ในจวนอ๋อง ท่าทางสุภาพน่ารัก  พอออกมานอกจวนอ๋องกลับปล่อยวาง  ปิ่นปักผมก็แกว่งไกวไปมา


นางเกาะประตูมองเข้ามาในโรงยา  โบกมือเรียกเฉินจี้  “เฉินจี้  เฉินจี้!”


อูหยุนหลบไปซ่อนที่เก้าอี้หลังโต๊ะบัญชี  ส่วนเฉินจี้เช็ดปากแล้วเดินออกไปต้อนรับ  “แม่นางซีปิ่ง  ลมอะไรหอบท่านมา?”


ซีปิ่งกล่าว  “ไป๋โป๋เหร่ของนายหญิงข้าบาดเจ็บอีกแล้ว  นายหญิงใช้ให้ข้ามาเรียกท่านไปดูน่ะ”


เฉินจี้หันกลับไปมองอูหยุนที่หลังโต๊ะบัญชีโดยไม่รู้ตัว  ในหัวเต็มไปด้วยคำถาม:  เจ้าทำใช่ไหม?


อูหยุนแววตาใสกระจ่างปนงุนงง:  ไม่ใช่ข้า!


หนึ่งคนหนึ่งแมวคุยกันแล้วไม่ได้ข้อสรุป!


ชั่วพริบตานั้น  เฉินจี้ตระหนักชัดเจนว่า  หยุนเฟยต้องการพูดคุยกับตน!


เขาเคยคาดเดามาตลอดว่า  คนใหญ่คนโตที่แอบติดต่อกับกรมข่าวกรองราชวงศ์จิ่งคือใคร


จริงอยู่ คนตระกูลหลิวอย่างจิ้งเฟยมีโอกาสเป็นสายลับมากกว่าใคร  แต่เบาะแสทั้งหมดกลับชี้ไปหาหยุนเฟย


นึกถึงเรื่องที่สือเฉากรมข่าวกรองสั่งไว้  เฉินจี้หันไปกล่าวกับหมอเฒ่าเหยา  “อาจารย์  ข้าขอไปกับแม่นางซีปิ่งสักหน่อย”


หมอเฒ่าเหยาครุ่นคิดครู่หนึ่ง  แย้มใบ้  “ต้องเอารากโสมติดตัวไปด้วยไหม  เผื่อได้ใช้น่ะ?”


เฉินจี้  “......คราวนี้คงไม่ต้องขอรับ”


หากจ่ายโสมให้แมวอีก  เขาเกรงว่าหยุนเฟยจะโบยตนด้วยไม้จนตาย


หมอเฒ่าเหยาดูผิดหวังบ้าง  “ไปเถอะ”


เฉินจี้เดินตามซีปิ่งไปยังจวนอ๋อง  ขณะผ่านแผ่นป้าย  ‘เที่ยงธรรมชอบธรรม’  ก็อดเหลียวมองไม่ได้


ซีปิ่งแสดงป้ายเอวให้ทหารยามดู  “นายหญิงข้าเรียกหาหมอจากโรงยาน่ะ”


ทหารยามเก็บหอกแล้วยอมให้ผ่าน


ในจวนอ๋อง  บ่าวไพร่และสาวใช้วิ่งวุ่นไปมา  คิดว่าคงเพราะโอรสอ๋องกับธิดาอ๋องกลับมา  กำลังเตรียมงานเลี้ยงยามเย็น


เฉินจี้ถามด้วยความสงสัย  “แม่นางซีปิ่ง  ไป๋โป๋เหร่ถูกใครทำร้าย?”


“ไม่ทราบเลย”  ซีปิ่งยิ้มแย้ม  “วันนี้ข้ายังไม่เห็นมันด้วยซ้ำ  นายหญิงบอกให้ข้ามาตามท่าน  ข้าก็มา  เดี๋ยวท่านรีบตรวจรักษาหน่อยแล้วกัน  คืนนี้ที่สระเฟยไป๋จะมีการประชุมนักปราชญ์เมืองหลัว  ข้าอยากไปดูเหมือนกัน  ได้ยินว่าโอรสอ๋องเชิญบัณฑิตเอกมาหลายท่าน”


ทั้งสองรีบเดินผ่านประตูโค้งที่นำไปสู่เรือนใน  แล้วหยุดหน้าตำหนักเฟยหยุน


ซีปิ่งร้องเสียงดัง  “นายหญิงเพคะ  พาเฉินจี้จากโรงยาไท่ผิงมาแล้ว”


แม่นมซีถังเดินออกมา  เหลือบมองเฉินจี้แวบหนึ่ง  “ตามข้ามา”


เฉินจี้ก้มศีรษะเดินตาม  ระหว่างเดินก็ใช้หางตาสำรวจลานตำหนักเฟยหยุน  ที่นี่เรียบง่ายกว่าตำหนักหวั่นซิงพอสมควร  มีเพียงต้นพลับกลางลาน  ห้อยลูกพลับสีแดงสด


ลูกพลับสุกงอมแล้ว  แต่ยังคงเหลือติดกิ่งอยู่มาก  โดยไม่ถูกเด็ดออกไป


เฉินจี้นึกถึงนิทานเรื่องหนึ่งขึ้นมาทันใด  คนเฒ่าคนแก่มักกล่าวว่า  อย่าเก็บพลับจนหมดต้น  ต้องเหลือไว้บ้างให้นกกินข้ามฤดูหนาว  ไม่รู้ว่าหยุนเฟยเก็บพลับเหล่านี้ไว้ด้วยเหตุผลนี้หรือไม่


มาถึงหน้าอาคารในตำหนักเฟยหยุน  อาคารหลังนี้ก็ไม่เหมือนที่พักสตรี  ไม่มีเพดานลวดลายงามหรือประดับมุก  กลับคล้ายห้องหนังสือบุรุษ  ดูเรียบง่ายและมืดทึม


ขณะนี้หยุนเฟยกำลังยิ้มแย้ม  ฟังเด็กสาวคนหนึ่งเล่า  ล้วนเป็นเรื่องราวในสำนักตงหลิน


เห็นเฉินจี้มาถึง  นางจึงเอ่ยกับเด็กสาว  “ไป๋หลี่  เจ้าไปพักก่อนเถิด  แม่รู้สึกไม่ค่อยสบาย  เชิญหมอจากโรงยาไท่ผิงมาตรวจ  เดี๋ยวค่อยฟังเจ้าเล่าเรื่องสำนักต่อ”


จูไป๋หลี่ทำหน้างุนงง  “ท่านแม่ไม่สบายตรงไหนหรือ?”


หยุนเฟยยิ้มอ่อนโยน  “ไม่เป็นไรหรอก  แค่เหงื่อออกง่าย  รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถิด  เย็นนี้ยังมีงานเลี้ยงอีก”


จูไป๋หลี่เดินออกจากอาคาร  สวนทางกับเฉินจี้  นางหันกลับมามองเขา  รู้สึกฉงนใจ  รู้สึกคุ้นตาหมอหนุ่มคนนี้  อีกอย่าง……อายุน้อยขนาดนี้รักษาโรคเป็นแล้วหรือ?


หยุนเฟยประทับบนเก้าอี้ไท่ซือ  สวมเสื้อคอตั้ง  ชายประกบสีน้ำตาล  บนอาภรณ์ปักลายมังกรข้ามไหล่สีสดใส  เหยียบคลื่นสีเขียว


ถึงจะบอกว่าเป็นมังกร  แต่มังกรในแบบแผนราชวงศ์หนิงนั้น  คล้ายมังกรแท้มากกว่า


หยุนเฟยไล่ซีปิ่งออกไป  ครั้นในห้องไร้คนแล้ว  นางจึงเอ่ยเสียงเข้ม  “วันนี้เป็นเวลานัดส่งของที่ตกลงกันไว้  เหตุใดกรมข่าวกรองราชวงศ์จิ่งของเจ้าจึงไม่มา?”


เฉินจี้  “......”


(จบตอน)  


______________
ปัจจุบันแปลถึงตอน: 0043
ติดตามผู้แปล : www.facebook.com/bjknovel/
#พระเอกฉลาด #นิยายแฟนตาซี #qingshan

Previous Next

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตอนที่ 0001 กลับสู่ศูนย์

ตอนที่ 0007 บุพการี

ตอนที่ 0010 ตำหนักหวั่นซิง