ตอนที่ 0038 เสนาบดีอาวุโส
ภายในตำหนักเฟยหยุน หยุนเฟยยกถ้วยชาขึ้น ใช้ฝาถ้วยเขี่ยใบชาที่ลอยอยู่อย่างใจเย็น กล่าวด้วยท่าทีสงบนิ่ง “วันนี้คนเป็นร้อยเป็นพันเสี่ยงคอคอยเจ้ามารับของ กลับไม่เห็นแม้แต่เงา หากวันนี้ไม่มีคำชี้แจง เจ้าก็ไม่ต้องออกจากจวนอ๋องนี้ไป”
เฉินจี้เร่งสมองครุ่นคิด หลิวเสินหยูแห่งตระกูลหลิวสนิทสนมกับจิ้งเฟย เหตุใดจึงไม่เลือกติดต่อจิ้งเฟย กลับมาติดต่อหยุนเฟยแทน
เหตุใดจิ้งเฟยจึงไม่รู้ว่าตนเป็นสายลับราชวงศ์จิ่ง
เดี๋ยวก่อน
เฉินจี้นึกถึงแก้วตะกั่วแบเรียมที่ทำให้จิ้งเฟยแท้งบุตร เสมือนมีเส้นทางลึกลับกำลังนำพาเขาไปสู่ความจริง
“เหตุใดจึงไม่ตอบ” หยุนเฟยถามเสียงเข้ม พระสนมผู้สง่างามประทับบนเก้าอี้ไท่ซือ ลายมังกรบนอาภรณ์ประดุจจ้องมองเฉินจี้ สะกดขวัญโดยไม่ต้องแสดงโทสะ
เฉินจี้กล่าวเสียงแผ่ว “ตระกูลหลิวเกิดเรื่องใหญ่ เจียวถู่กับหยุนหยางแห่งกรมสืบลับแทบจะสืบเค้าได้ เพื่อความปลอดภัย ฝ่ายข้าจึงต้องระงับแผนการชั่วคราว”
ความจริงก็คือ คืนนั้นเขาไปที่จวนโจวเฉิงอี้เพื่อแจ้งวันส่งของ แต่กลับถูกหยุนหยางกับเจียวถู่สังหาร
เฉินจี้ที่ฟื้นคืนชีพมาแทน ย่อมไม่รู้เรื่องนี้แม้แต่น้อย
หยุนเฟยกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “กรมข่าวกรองราชวงศ์จิ่งยกเลิกข้อตกลงตามอำเภอใจ คำชี้แจงเพียงเท่านี้ไม่พอหรอก คิดหาคำตอบได้แล้วหรือยัง? หรือจะไปเป็นปุ๋ยหลังตำหนักข้าดีล่ะ?”
เฉินจี้กล่าวขึ้นทันควัน “กรมสืบลับอยู่ในเมืองหลัว เป็นภัยคุกคามต่อเราทั้งสองฝ่าย ในเมื่อนายหญิงแสดงความจริงใจแล้ว กรมข่าวกรองข้าก็ควรแสดงฝีมือบ้าง หยุนหยางกับเจียวถู่ติดคุกวันนี้ เป็นฝีมือสือเฉาแห่งกรมข่าวกรองข้า ไม่ทราบนายหญิงพอใจหรือไม่”
หยุนเฟยดวงตาวาววับ “ที่แท้คนส่งสารก็เป็นคนของกรมข่าวกรอง สือเฉาผู้นั้นเป็นใครกัน ไม่เพียงส่งสายลับเข้ากรมสืบลับ ยังมีฝีมือแทรกซึมเข้าจวนหลิวได้อย่างเงียบเชียบ”
เฉินจี้ใจหนึ่งตกตะลึง เรื่องที่เกิดเช้านี้ หยุนเฟยรู้หมดแล้วตอนบ่าย แสดงว่าตระกูลหลิวติดต่อกับนางอย่างใกล้ชิด
เขาทอดสายตาลง “ท่านสือเฉาเป็นยอดฝีมือแห่งกรมข่าวกรอง ท่านประมุขส่งเขามา ย่อมต้องการให้ความร่วมมือสองฝ่ายเราราบรื่น”
หยุนเฟยคราวนี้สีหน้าไม่ขึงขังดังเดิม อ่อนโยนขึ้นมาก “ครั้งแรกที่พบเจ้า ข้าเห็นกรมข่าวกรองเจ้าส่งเด็กหนุ่มมาเจรจา จึงดูแคลนไปบ้าง แต่ที่ตำหนักหวั่นซิง เจ้าพิสูจน์แล้วว่าไม่ใช่คนไร้ฝีมือ ดีมาก หากสายลับกรมข่าวกรองในเมืองหลัวล้วนเป็นยอดฝีมือเช่นนี้ ข้าก็วางใจได้”
เฉินจี้ครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วตอบ “บัดนี้หยุนหยางกับเจียวถู่ติดคุก ถือโอกาสที่หัวหน้าคนใหม่ของกรมสืบลับยังไม่มาถึงเมืองหลัว ทางเราขอรับประกันว่า การแลกเปลี่ยนจะไร้ข้อผิดพลาด นายหญิง ได้โปรดกำหนดวันเวลาและสถานที่ใหม่ด้วย”
หยุนเฟยมองเขานานขึ้นสองสามอึด “งั้นคืนพรุ่งนี้แล้วกัน สถานที่เหมือนเดิม”
เฉินจี้ไม่รู้ว่าครั้งก่อนนัดที่ไหน จะบอกสือเฉาอย่างไร จึงรีบกล่าว “ไม่เหมาะ กรมข่าวกรองข้าไม่แลกเปลี่ยนที่เดิมสองหน……รบกวนหยุนเฟยกำหนดสถานที่ใหม่ด้วย”
“พวกเจ้ารอบคอบกันจริงๆ” หยุนเฟยคิดอยู่ครู่ “ครั้งนี้เอาเป็นตลาดบูรพา ตรอกชุดแดง ไปร้าน ‘จินฟาง’ ตามหาแม่เล้าแล้วบอกคำว่า ‘หลัวเทียน’ นางจะพาพวกเจ้าไปที่ซ่อนของ”
ขณะนี้ เฉินจี้ไตร่ตรองหนักแล้วหนักอีก ชั่งน้ำหนักผลดีผลเสียแล้วจึงถามข้อสงสัย “นายหญิง กรมข่าวกรองข้ามีเรื่องหนึ่งไม่เข้าใจมาตลอด”
หากไม่รู้ภาพรวมทั้งหมด เขาจะไม่มีวันคุมสถานการณ์ได้เลย
หยุนเฟยยกถ้วยชาขึ้นละเมียดจิบ “เชิญว่ามา”
“พวกข้าสืบได้ว่า หลิวเสินหยูเป็นหลานชายที่จิ้งเฟยโปรดปรานที่สุด เป็นลูกชายคนเดียวของพี่สาวแท้ๆ ของนาง ก่อนหน้านี้กรมข้าไม่เชื่อว่าเขาจะส่งข่าวแทนท่าน จึงสงสัยว่าเหตุใดเขาถึงไม่ติดต่อจิ้งเฟย”
หยุนเฟยหัวเราะเย้ยหยัน “น้องสาวแสนดีคนนั้นน่ะหรือ ตระกูลหลิวควบคุมนางไม่ได้ จะกล้ามอบกิจการใหญ่ไว้ในมือนางได้อย่างไร บัดนี้ข้ากับตระกูลหลิวมีผลประโยชน์ร่วมกัน พวกเจ้าไม่ต้องกังวล”
เฉินจี้ลุกขึ้น “งั้นข้าขอตัว...”
“เดี๋ยวก่อน” หยุนเฟยกล่าว
เฉินจี้งุนงง “นายหญิงมีอะไรอีกหรือ”
หยุนเฟยยิ้มเชื้อเชิญ “คืนนี้โอรสอ๋องจะจัดงานสโมสรกวี พี่ชายแท้ๆ สองคนของเจ้าก็จะไปร่วมด้วย ข้าจะส่งบัตรเชิญไปให้โรงยาสักสองสามใบ พวกเจ้าศิษย์พี่น้องจะได้ไปด้วยกัน”
เฉินจี้คิดอยู่ครู่ “ไม่เป็นไร ตอนนี้ตัวข้ามีฐานะอ่อนไหว ไม่อยากลากพวกเขาลงน้ำ วันนี้ยังต้องจัดการเรื่องส่งมอบของด้วย ขอตัวก่อน”
เมื่อเฉินจี้ออกจากตำหนักเฟยหยุน เขาหันกลับมามองต้นพลับนั้นอีกครั้ง แล้วจึงหันหลังจากไป
......
......
บนถนนสายใหญ่เมืองหลัว รถม้าคันหนึ่งแล่นมาจากทิศเหนือ
ตัวรถเรียบง่าย มีผู้ติดตามขี่ม้าตามข้างรถเพียงสองนาย ดูเงียบเชียบยิ่ง
ขณะนั้น บนถนนฝั่งตรงข้ามรถม้า มีคนนับร้อยกำลังมาต้อนรับ
เมื่อมาถึงตรงหน้า เห็นขุนนางแคว้นยู่ทั้งหลายต่างลงจากเกี้ยว ลงจากม้า รีบเร่งมาหน้ารถ คุกเข่าถวายบังคม “ขอต้อนรับเสนาบดีอาวุโสกลับแคว้นยู่ ข้าน้อยทั้งหลายมารับช้า ขอประทานอภัย”
ตระกูลหลิวปกครองดินแดนนี้มานับร้อยปี บัดนี้ครอบครองที่นากว่าครึ่งของแคว้นยู่พร้อมชาวนาผู้เช่า
ไม่ว่าใครมาเป็นขุนนางแคว้นยู่ หากอยากเก็บภาษี เกณฑ์แรงงาน สร้างผลงาน ล้วนต้องดูหน้าตระกูลหลิว
ดังนั้น นอกจากลูกหลานตระกูลใหญ่ไม่กี่คนที่มาสร้างผลงาน ขุนนางทั้งหลายจึงคุกเข่าต้อนรับ เมื่อคุกเข่าแล้ว วงการขุนนางแคว้นยู่จึงจะยอมรับ ไม่คุกเข่า ก็จะเดินไปไหนไม่ได้เลย
เสนาบดีอาวุโสหลิวเปิดม่าน กวาดตามองขุนนางที่คุกเข่าเพียงครู่เดียว “บิดาข้าเพิ่งสิ้น ไม่มีอารมณ์สังสรรค์กับท่านทั้งหลาย เชิญกลับไปเถิด”
ว่าแล้วรถม้าก็เคลื่อนตัวเชื่องช้าอีกครั้ง ขุนนางคนหนึ่งเดินเข้ามาใกล้รถ วิ่งเหยาะๆ ตามหลัง พลางกล่าวกับเสนาบดีอาวุโสหลิวหลังม่านด้วยเสียงแผ่วเบา “ท่านเสนาบดีอาวุโส ท่านลุงกับท่านอาคอยอยู่ที่บ้าน”
แต่กลับได้ยินเสนาบดีอาวุโสหลิวสั่ง “ข้าจะไปสุสานบรรพชน บอกให้หลิวหมิงเสี่ยนมาพบด้วย”
รถม้าแล่นไปจนถึงภูเขาเป่ยหมาง เสนาบดีอาวุโสหลิวยืนอยู่หน้าหลุมศพที่พังทลาย มองดูชายฉกรรจ์นับสิบกำลังขนหินใหม่มาก่อสุสานขึ้นใหม่
ไม่รู้ว่าเขายืนอยู่หน้าสุสานนานเท่าใด
จนกระทั่งเห็นหลิวหมิงเสี่ยน หน้าตาตื่นตระหนก รีบวิ่งมาคุกเข่าลงต่อหน้าเสนาบดีอาวุโสหลิว “ท่านพ่อ!”
เขาไม่พูดอะไร ปล่อยให้บุตรชายคุกเข่าอยู่อย่างนั้น
หลิวหมิงเสี่ยนคุกเข่าจนกระทั่งปวดเข่า อดขยับตัวไม่ได้ เสนาบดีอาวุโสหลิวจึงค่อยๆ เอ่ยถาม “หลังข้าตาย จะมีใครมาขุดโลงตรวจศพข้าบ้างหรือไม่?”
หลิวหมิงเสี่ยนรีบก้มศีรษะ “ท่านพ่อ ไม่มีทางเด็ดขาด!”
เสนาบดีอาวุโสหลิวสั่งให้คนอื่นๆ ลงจากภูเขา ส่วนตนยกชายเสื้อคลุมนั่งลงบนก้อนหิน กล่าวเนิบนาบ “หลิวหมิงเสี่ยน วันนี้เจ้าฆ่าปู่ของเจ้าเพื่อการใหญ่ตามที่เจ้าอ้าง จะแน่ใจได้อย่างไรว่าพรุ่งนี้เจ้าจะไม่สังหารข้าเพื่อการใหญ่?”
บนภูเขาเงียบสงัด ไร้ผู้คน หลิวหมิงเสี่ยนหมอบราบกับพื้น นิ่งเงียบไม่พูดจา
เสนาบดีอาวุโสหลิวตวาดด้วยความโกรธ “พูด!”
หลิวหมิงเสี่ยนรีบอธิบาย “ท่านพ่อ ความตั้งใจของลูกไม่ใช่เช่นนี้ ทีแรกข้าหวังใช้การแกล้งตายของปู่บีบให้กรมสืบลับถอย หยุนหยางกับเจียวถู่เก่งแต่ฆ่าคน ไร้สมอง ขู่นิดเดียวก็คงถอย ไหนเลยจะคิดว่า พวกมันสามารถหาหลักฐานเอาผิดหลิวเสินหยูได้จริงๆ”
“แล้วเหตุใดจึงต้องฆ่าปู่เจ้า?”
“พวกเราได้รับข่าวว่า กรมสืบลับกำลังรุดหน้ามาขุดโลงตรวจศพ หากพวกมันพบว่าในโลงไม่มีคน ตระกูลหลิวของเราก็มีความผิดฐานหลอกลวงเบื้องสูง! ข้าจึงหาดอกลำโพงมาให้ปู่กิน เพียงให้ท่านสลบเหมือนตายอยู่ในโลงชั่วครู่ก็พอ ไหนเลยจะคิดว่าปู่อายุมากแล้ว ทนพิษดอกลำโพงไม่ไหว ถึงกับสิ้นใจไป”
เสนาบดีอาวุโสหลิวโกรธจัด “ยังไม่พูดความจริงอีกหรือ? แท้จริงแล้วปู่ของเจ้าไม่เห็นด้วยที่พวกเจ้าสมคบกับราชวงศ์จิ่ง พวกเจ้าจึงฉวยโอกาสนี้ ทำก็ทำให้สุดเลย ฆ่าท่านทิ้งไปเลย! หลิวหมิงเสี่ยน เจ้าไร้ยางอายเกินไป ไม่คิดเลยว่าข้าเลี้ยงหมาป่ากินคนไว้ให้ตระกูลหลิว!”
หลิวหมิงเสี่ยนเงยหน้าขึ้นทันที ในดวงตาเต็มไปด้วยความดุร้าย “ท่านพ่อ ตั้งแต่ฝ่าบาทขึ้นครองราชย์ ก็คิดอุบายจะกำจัดตระกูลหลิวของเรามาตลอด เมื่อก่อนยืมมือพวกตงหลิน ให้ขุนนางผู้ตรวจการกราบทูลฟ้อง ตอนนี้ก็ยุยงพวกขันทีใส่ร้ายป้ายสี พระองค์จะไม่หยุดจนกว่าจะกำจัดพวกเราได้!”
“ท่านพ่อ ยี่สิบปีก่อน ทั้งราชสำนักล้วนเป็นคนของตระกูลหลิว แล้วตอนนี้ล่ะ? พวกเราแม้แต่ตำแหน่งในแคว้นยู่ยังแทบรักษาไว้ไม่ได้ ท่านก็ไม่ใช่ไม่ทราบ ตระกูลเฉินส่งเฉินหลี่ฉินมาเป็นรองเจ้าเมืองหลัว ไอ้เฒ่าสวีก่งก็ส่งลูกเขยจางจัวมาเป็นเจ้าเมืองหลัว สองคนนี้สมคบคิดกัน สาบานจะสืบสวนที่นาและชาวนาเช่าของตระกูลหลิวเรา”
“ท่านพ่อ ลูกทำเช่นนี้ก็เพื่อเสี่ยงสุดตัว หากยังนั่งรอความตายต่อไป มรดกหลายร้อยปีของตระกูลหลิวก็จะสูญสิ้น!”
ลมภูเขาพัดหมอกบางๆ ผ่านมา เสนาบดีอาวุโสหลิวนั่งท่ามกลางหมอกนั้น สีหน้าดูอ้างว้าง “พวกเจ้าไม่มีใครฟังคำข้าเลย ยังเรียกข้าว่าพ่อไปทำไม”
“ข้าเคยเตือนอาหญิงของเจ้าแล้วว่า ฝ่าบาทปัญญาเฉียบแหลม ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ก็แตกฉานวิชาครองแผ่นดิน ไม่อาจควบคุมได้ แต่อาหญิงเจ้ากลับไม่ฟัง นับตั้งแต่ฝ่าบาทได้ครองตำแหน่งเมื่อพระชนมายุสิบเอ็ดพรรษา นางก็ชิงกุมอำนาจราชสำนักมาตลอด ขัดขวางไม่ให้ทรงบริหารราชการเอง ฝ่าบาททรงอดกลั้นหกปีเต็ม เผชิญความลำบากสารพัด จะไม่ให้เกลียดชังตระกูลหลิวเราได้อย่างไร?”
“ก็เพราะพระองค์ทรงเกลียดชังพวกเรา อนาคตของตระกูลเราจึงแทบไม่มี แต่ถ้าลองดึงดันสู้ตาย ก็ไม่แน่ว่าจะสู้ไม่ได้! แผ่นดินนี้ ไม่ใช่แผ่นดินของตระกูลจูเพียงตระกูลเดียว!” หลิวหมิงเสี่ยนกล่าวด้วยน้ำเสียงดุดัน
เสนาบดีอาวุโสหลิวได้ฟังแบบนั้นก็ท้อแท้หมดแรง “ช่างเถิดๆ ข้าจะถามเจ้าอีกแค่คำเดียว ตอนเจ้ามอบแก้วให้น้องสาว เจ้ารู้หรือไม่ว่ามันจะทำให้นางแท้งลูก”
หลิวหมิงเสี่ยนส่ายหน้าปฏิเสธ “ข้าไม่ทราบ แก้วใบนั้นงดงามเลิศล้ำ ข้าเพียงคิดว่าน้องจะชอบ จึงมอบให้ไป”
“ยังจะโกหกอีก!” เสนาบดีอาวุโสหลิวเตะเขาล้มคว่ำลงกับพื้น
หลิวหมิงเสี่ยนไม่คุกเข่าอีกต่อไป ลุกขึ้นปัดฝุ่นออกจากตัว ดึงชุดขุนนางสีน้ำเงินให้เรียบเป็นระเบียบ “ท่านพ่อ นับตั้งแต่นางแต่งเข้าจวนอ๋อง ในใจก็มีแต่จิ้งอ๋อง ไหนเลยจะมีตระกูลหลิว? นางคิดแต่จะคลอดบุตรให้จิ้งอ๋อง ข้าบอกนางให้ทำงานเพื่อตระกูลหลิว นางกลับไม่ยอม ข้าจึงตัดความหวังนี้ของนางเสีย!”
“เจ้าโหดร้ายเกินไป!”
“ท่านพ่อ ข้าโหดร้ายเท่าพวกขันทีหรือ? ถ้าข้าไม่โหดร้าย จะสู้กับพวกมันได้อย่างไร?”
“เจ้า...” คำพูดของเสนาบดีอาวุโสหลิวจุกอยู่ในปาก ไม่รู้จะพูดออกมาอย่างไร
เขานั่งอยู่บนหิน เงียบงันเนินนาน ในที่สุดก็ถอนหายใจแผ่วเบา “วันนี้หยุนหยางกับเจียวถู่ถูกจับเข้าคุก ใครเป็นคนแจ้งข่าวให้เจ้า?”
หลิวหมิงเสี่ยนเห็นบิดาผ่อนน้ำเสียงลงก็ดีใจ เขารู้ว่าอีกฝ่ายดำรงตำแหน่งสูง ย่อมไม่ใช้อารมณ์ตัดสินเรื่องราว
เขาตอบอย่างนอบน้อม “ข้ายังไม่ทราบ ตอนนี้กำลังสืบอยู่ ยังไม่แน่ใจเจตนาของอีกฝ่าย”
เสนาบดีอาวุโสหลิวเผยสีหน้าเคร่งเครียด “ไม่ว่าจะเป็นศัตรูหรือมิตร มีคนเช่นนี้อยู่ข้างกาย ข้านอนไม่หลับ รีบสืบให้พบ ข้าจะให้คนจากเอี่ยนซือมาช่วยเจ้า คนเหล่านี้ใช้ให้ดีไม่ง่าย เก็บความหยิ่งยโสของเจ้าไว้”
“ขอรับ”
เสนาบดีอาวุโสหลิวโบกมือ “ไปได้แล้ว ข้าเหนื่อย”
หลิวหมิงเสี่ยนหันกลับลงเขา เหลือเสนาบดีอาวุโสหลิวอยู่บนเขาเพียงลำพัง
ชายชราที่ราวกับเทียนในสายลม บรรจงลุกขึ้นยืน นำมือเท้าลงบนป้ายหลุมศพ “ท่านพ่อ ท่านเองก็ไม่ได้ออกจากบ้านตระกูลหลิวมาดูแผ่นดินนี้นานแล้วเช่นกัน”
(จบตอน)
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น