ตอนที่ 0003 ไฟในหิน ร่างในฝัน
โรงพยาบาลชิงซาน ยามห้าทุ่มครึ่ง
หมอหลิวผู้อยู่เวรคืนนี้ เพิ่งชงชาเข้มให้ตัวเองอีกแก้ว ก็ได้ยินเสียง ‘โครม’ ของประตูถูกเตะเปิด
“พวกแกมาทำอะไร?” เหล่าหลิวตวาดถาม
“เอ้อร์ต้าว จับมันไว้”
“จับไว้ตรงไหน?”
“บนโต๊ะก็ได้”
เอ้อร์ต้าวก้าวยาวมาหน้าเหล่าหลิว กดศีรษะเหล่าหลิวลงบนโต๊ะดังตึง ใบหน้าครึ่งหนึ่งแสบร้อนทันที
เป๋าเกอผลักเฉินซั่วกับหวังฮุ่ยหลิงเข้ามาในห้อง เดินอย่างสบายอารมณ์เข้ามา “เฉินซั่วสารภาพแล้ว แกรับเงินมันห้าหมื่น สมคบกันขังหลานชายมันไว้ในโรงพยาบาลบ้าใช่ไหม?”
เหล่าหลิวร้องตะโกน “ใครก็ได้! ช่วยด้วย! มีคนมาก่อกวนโรงพยาบาล!”
เสียงฝีเท้ารีบร้อนดังมาตามทางเดิน แต่เป๋าเกอไม่ตื่นตระหนกแม้แต่น้อย เพียงถอดเสื้อถังจวง บรรจงพับแขนเสื้อขึ้น เผยให้เห็นรอยสักเต็มแขนกับกล้ามเนื้อ
สัตว์ป่าดึกดำบรรพ์ถลกหนังเผยเขี้ยวต่อหน้าเหยื่อ ทุกคนที่ถูกมันจ้องจึงต้องหวงแหนชีวิต
ทันทีที่พยาบาลชายสองคนปรากฏตัวจากประตู เป๋าเกอเอียงตัวขวาเล็กน้อย หลบหมัดที่ซัดมา วินาทีให้หลัง หมัดเบี่ยงดุจสายฟ้าฟาด พุ่งเข้าใต้คางพยาบาลชายคนหนึ่ง จนอีกฝ่ายชาไปทั้งตัว
ยังไม่ทันให้พยาบาลชายอีกคนตั้งสติ เป๋าเกอพุ่งตัวราวกับเสือดำอเมริกา ย้ายมาอยู่ตรงหน้า ซัดหมัดเบี่ยงใส่ใต้คางอีกครั้ง!
“อ่อนเกินไป”
จนกระทั่งเสียงพูดจบลง จึงได้ยินเสียงโครมสองครั้ง พยาบาลชายทั้งสองล้มลงหมดสติราวกับท่อนไม้สองท่อน
เป๋าเกอหันมามองเหล่าหลิวที่ถูกกดไว้บนโต๊ะ “ยังมีคนอีกไหม?”
“ไม่...ไม่มีแล้ว”
“พูดดีๆ กันได้แล้วใช่ไหม?”
“ได้! ได้!”
“ดี สามคนนั่งยองเป็นแถว” เป๋าเกอดึงเก้าอี้มานั่ง กระดกขาไขว่ห้าง “เฉินจี้เป็นโรคจิตจริงหรือเปล่า?”
“ไม่เป็น! ไม่ได้เป็น!” เหล่าหลิวตอบ “เขาแค่วงจรสมองผิดปกตินิดหน่อย มีแนวโน้มความรุนแรงเล็กน้อย แนวโน้มซึมเศร้า ไม่ได้ป่วยจริง”
เป๋าเกอจุดบุหรี่ “แปลกแล้ว เขารู้ล่วงหน้าว่าพวกแกจะทำอะไร ทำไมสุดท้ายยังถูกพวกแกเอาเข้ามาขังได้?”
“เขาอยากใช้คุณมาแก้แค้นพวกเรา!”
เป๋าเกอส่ายหัว “ไม่ใช่ เขาหาฉันมากู้เงินโดยเฉพาะ ต้องรู้แน่ว่าฉันทำอะไร คำถามคือ ทำไมไม่จ่ายเงินฉันมาเลย ซื้อขาพวกแกคนละสองข้างไม่ดีกว่าหรือ? จะเอาตัวเองเข้าโรงพยาบาลบ้าทำไม!”
เฉินซั่ว “......”
เป๋าเกอถามขึ้นทันใด “พ่อแม่เขา พวกแกฆ่าใช่ไหม?”
เฉินซั่วอยากร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตา “พ่อแม่เขาตายเพราะอุบัติเหตุรถชน คนขับที่ชนก็จับได้แล้ว ไม่เกี่ยวกับพวกเราเลย”
เป๋าเกอส่ายมือให้เฉินซั่วที่ยื่นมือมา แล้วดีดขี้บุหรี่ลงบนฝ่ามือของอีกฝ่าย “เด็กอายุสิบเจ็ดพ่อแม่เพิ่งตายไปครึ่งปี พวกแกเป็นลุงเป็นป้ากลับคิดยึดบ้านเขา ช่างไร้ยางอาย แล้วก็ไอ้หมอ ไอ้แก่เอ๊ย! แกเคยทำแบบนี้มาก่อนใช่ไหม?”
เหล่าหลิวรีบตอบอย่างตื่นตระหนก “ผมไม่เคยทำร้ายใคร คนไข้ที่ผ่านมือผม ล้วนเป็นคนทำผิดไม่อยากติดคุก มาหาผมให้ออกใบรับรองเอง”
“อ้อ?” เป๋าเกอครุ่นคิด “พวกนั้นทำผิดอะไรมาบ้างล่ะ?”
“คนล่าสุดชื่อหวังหลง เป็นนักเลง ทำธุรกิจขนดิน ครึ่งปีก่อนเขาขับรถชนสามีภรรยาคู่หนึ่งตาย......” เหล่าหลิวพูดถึงตรงนี้ ก็เงยหน้ามองเป๋าเกออย่างหวาดกลัว
ชี่! เป๋าเกออึ้งไปชั่วครู่แล้วกดก้นบุหรี่ลงบนฝ่ามือเฉินซั่ว เสียงร้องโหยหวนดังก้องทั่วทางเดิน
เป๋าเกอสวมเสื้อถังจวงสีดำ จับผมบางๆ ของเหล่าหลิวลากออกไป “ฉันรู้แล้วว่าทำไมเขาถึงต้องเข้าโรงพยาบาลบ้าให้ได้ ทำร้ายเด็กแบบนี้ พวกแกช่างขาดจิตสำนึก เอ้อร์ต้าว ลงโทษพวกมันให้เข็ดหลาบ ฉันจะพาไอ้หมอไปชั้น 6 หวังหลงฉันรู้จัก ไม่ใช่คนรับมือง่ายๆ”
เฉินซั่วตัวสั่นราวกับตะแกรงร่อน “ที่นี่โรงพยาบาลนะ มีกล้องวงจรปิด คุณจะมาทำร้ายคนที่นี่ไม่ได้!”
เอ้อร์ต้าวเกาหัวล้านที่มีรอยแผลเป็น “เป๋าเกอ จัดการเลยไหม?”
“จัดการซ้ำๆ”
......
......
ในห้องพักผู้ป่วย เสียงกรนดังสลับกันไปมา เฉินจี้ที่นอนบนเตียงลืมตาโพลง จ้องเพดานอย่างเงียบงัน
เขาพบว่าในโรงพยาบาลจิตเวช มีคนละเมอมากเป็นพิเศษ และจับความหมายได้ยากเป็นพิเศษ
ในความเลือนราง เขาเหมือนกลับไปสู่วัยเด็กอีกครั้ง ได้ยินเสียง ‘กึ้งๆ’ เมื่อรถไฟสีเขียวเริ่มออกตัว
เฉินจี้ตอนเด็กมีร่างกายอ่อนแอเจ็บป่วยบ่อย ในฝันมักได้ยินเสียงตะโกนฆ่า พ่อจึงต้องพาเขาไปหาหมอที่ปักกิ่งเป็นประจำ
ตอนที่ไม่มีเงิน สองพ่อลูกจะซื้อตั๋วยืนรถไฟสีเขียว
พวกเขาจะนั่งบนพื้นที่ว่างระหว่างตู้รถไฟสองตู้ เฉินจี้ง่วงก็นอนในอ้อมกอดพ่อหลับไปพักหนึ่ง หิวเมื่อไหร่พ่อก็จะหยิบบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปออกจากกระเป๋า ไปต่อคิวรับน้ำร้อน แล้วประคองให้เขากินก่อน
ตื่นขึ้นมา เฉินจี้จะเกาะกระจกประตูรถไฟ ทำตัวเหมือนสารานุกรมเคลื่อนที่ ยิงคำถามแปลกๆ ไม่หยุด ส่วนพ่อก็ตอบอย่างไม่เบื่อหน่าย
ต่อมาตอนเขาอายุสิบสอง อาการป่วยหายสนิท พ่อก็ทำธุรกิจได้เงิน ซื้อบ้านพักตากอากาศ
คืนฤดูร้อน แม่สอนเขาถือไฟฉาย ค้นหาจักจั่นที่เพิ่งโผล่ขึ้นมาจากดินในสวน แช่น้ำเกลือแล้วทอดกิน
ตอนปีใหม่ แม่จะพาเฉินจี้ตัดกระดาษเป็นลวดลายติดหน้าต่าง ติดคำอวยพรปีใหม่ นึ่งซาลาเปารูปทรงสวยงาม
บนเตียงคนไข้ เฉินจี้ใจลอย ค่อยๆ ใช้นิ้วเช็ดน้ำตา
หลี่ชิงเหนี่ยวไม่รู้ว่ามาอยู่ข้างเตียงเขาตั้งแต่เมื่อไร “ตอนนี้ คุณขายของอย่างหนึ่งให้ผม ผมจะตอบคำถามคุณอีกข้อ”
เฉินจี้สายตาว่างเปล่าแต่ลึกล้ำ “คุณอยากซื้ออะไร?”
“จักจั่น”
“จักจั่นอายุกี่ปี?”
“จักจั่นอายุสิบสองปี”
“ไม่ขาย”
ตอนนั้นเอง เสียงร้องเจ็บปวดของเฉินซั่วดังมาจากชั้นล่าง ก้องกังวานไปทั่วโรงพยาบาล
ไม่มีเวลาแล้ว
เฉินจี้พลิกตัวลุกขึ้นกระโดดลงจากเตียง เขาถอดมีดสั้นจากสายรัดในต้นขาของตัวเอง ทิ้งฝักมีดแล้ววิ่งตรงไปยังจุดหนึ่งในห้อง
เขากลัวอยู่บ้าง กลัวสิ่งที่ตัวเองกำลังจะทำ และกลัวผลที่จะตามมาหลังทำเสร็จ
แต่เขาไม่มีทางเลือกอื่น
หวังหลง เมาแล้วขับชนชายหญิงคู่หนึ่งตายแล้วหลบหนี เหยื่อที่ถูกชนเสียชีวิตเพราะรักษาไม่ทันเวลา วันรุ่งขึ้น หวังหลงไปมอบตัวที่สถานีตำรวจ แต่ไปขอใบรับรองจากโรงพยาบาลจิตเวชชิงซานไว้ก่อนแล้ว ศาลกำลังจะตรวจสอบใบรับรอง ญาติหวังหลงรวมตัวคนขับรถขนดินกว่าหกสิบคนไปก่อกวนที่ศาล สุดท้ายเรื่องก็จบลงทั้งอย่างนั้น หวังหลงรอดพ้นการพิพากษา เข้าพักที่โรงพยาบาลชิงซาน
แต่คิดจริงหรือว่าจะหนีการพิพากษาพ้น?
เฉินจี้เข้ามาข้างเตียงหวังหลงอย่างเงียบเชียบ ออกแรงปักมีดสั้นลงไป
หวังหลงลืมตาโพลงทันที ใช้สองมือที่แข็งแรงจับข้อมือเฉินจี้ไว้ แล้วหัวเราะเสียงเย็น “แกคิดว่าฉันไม่รู้จักแกจริงๆ หรือ?”
ในระหว่างการฟ้องร้อง เฉินจี้ส่งนักกฎหมายมาเป็นตัวแทนตลอด ดังนั้น เขากับหวังหลงจึงไม่เคยเจอกัน แต่หวังหลงต้องการเจรจาประนีประนอมกับญาติผู้ตาย ย่อมจ้างคนสืบประวัติเขามาแล้ว
ดังนั้น เมื่อหวังหลงเห็นเฉินจี้ถูกส่งตัวเข้ามา ก็รู้ทันทีว่าเฉินจี้คิดอะไรอยู่
เขาพูดอย่างเร่งรีบ “ฉันจะชดใช้เงินให้แกมากขึ้น! เงินจำนวนมาก! พ่อแม่แกจากไปแล้ว แกต้องเรียนรู้ที่จะมองไปข้างหน้า!”
เขาไม่อยากฆ่าคนอีกแล้ว ถ้าฆ่าคนอีก ต้องอยู่ที่นี่ไปทั้งชีวิต
เฉินจี้กดปลายมีดลงอย่างนิ่งเงียบ ค่อยๆ ขยับเข้าใกล้หน้าอกหวังหลง
“รนหาที่!” แรงของหวังหลงมากกว่าเด็กหนุ่มมาก เขาตะโกนด้วยความโกรธเกรี้ยว แย่งมีดสั้นจากมือเฉินจี้ แล้วพลิกมือปักเข้าเอวซ้ายเฉินจี้ ทะลุซี่โครงรวดเดียว
หวังหลงเชื่อว่า การโจมตีครั้งนี้เพียงพอจะทำให้เฉินจี้หมดพลัง แต่ที่เขาไม่คิดคือ ระหว่างที่เขาแย่งมีด เฉินจี้ไม่ขัดขืนเลย กลับฉวยโอกาสที่เขาเปิดช่องว่างทั้งสองมือ กระโจนกัดเส้นเลือดใหญ่ตรงคอเขาดุจสัตว์ป่า!
เลือดไหลซึมระหว่างริมฝีปากและฟันเฉินจี้ไม่หยุด ย้อมหมอนเป็นสีม่วงดำ
เฉินจี้รู้สึกถึงรสคาวหวานในปากและฟัน รู้สึกถึงเลือดที่พุ่งเข้าปากแล้วไหลออกมา
ฆ่าคนแก้แค้นครั้งแรก เขากลัวจนหัวใจสั่น แต่ก็กัดแน่นไม่ยอมคลาย
หวังหลงรู้สึกถึงความเจ็บตรงคอ จนเขาหวาดกลัวราวกับกระแสไฟ นี่คือความรู้สึกของคนใกล้ตาย
เขาดึงมีดสั้นที่ปักอยู่ในอกท้องเฉินจี้ออก แล้วแทงเข้าไปอีกครั้งอย่างดุร้าย “ปล่อย!”
“ปล่อย!”
“ปล่อย......”
ตามเสียงตะโกนด้วยความโกรธ มีดแทงเข้าไปครั้งแล้วครั้งเล่า เฉินจี้กลับไม่มีปฏิกิริยา มีเพียงฟันที่ขบแน่นขึ้นเรื่อยๆ กัดเอาเนื้อก้อนหนึ่งจากคอหวังหลงออกมา
รูม่านตาหวังหลงเริ่มขยาย เขาหมุนมีดสั้นในมือไปพลาง พึมพำไปพลาง “ต้องขนาดนี้เลยหรือ? ต้องขนาดนี้เลย…”
แต่ที่หวังหลงไม่เข้าใจคือ สำหรับเฉินจี้ ชีวิตของเขาถูกทิ้งไว้ในอดีตด้วยอุบัติเหตุครั้งนั้น วังวนไร้สิ้นสุด ไม่อาจหลุดพ้น
เลือดสีม่วงดำไหลนองหมอนสีขาว ราวกับไหลนองชีวิตของเฉินจี้
โครม! ประตูเหล็กห้องผู้ป่วยถูกเปิดจากภายนอก เป๋าเกอสวมเสื้อถังจวงสีดำ จับผมเหล่าหลิว ปรากฏกายจากหน้าประตู
มือขวาหวังหลงคลายจากด้ามมีด ห้อยลงอย่างไร้เรี่ยวแรง
เฉินจี้เงยหน้าขึ้น เลือดเปรอะเต็มใบหน้า มองไปยังเป๋าเกอ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความกลัวหรืออาการหลังอะดรีนาลีนพุ่ง ร่างกายสั่นสะท้านไปทุกส่วนอย่างไม่อาจหักห้าม
เป๋าเกอถอนหายใจ “มาช้าไป”
เฉินจี้ทรุดนั่งปลายเตียง กดแผลตรงเอว พูดกับเป๋าเกอเบาๆ “ขอโทษ”
เป๋าเกอรู้ว่าเด็กหนุ่มกำลังพูดถึงเรื่องที่หลอกใช้ตน เขายิ้มกว้าง “ไม่เป็นไร ถึงแกจะตายอยู่รอมร่อ แต่รู้จักกันตอนนี้ก็ไม่สาย ฉันชื่อจริงเฉินฉง เพื่อนๆ ชอบเรียกว่าเป๋าเกอ”
“ครับ เป๋าเกอ”
“ฆ่าคนครั้งแรกหรือ? ก่อนทำไม่แสดงอาการ ตอนฆ่าลงมือสุดกำลัง ไม่มีพูดเยิ่นเย้อสักคำ ฉันชอบ” เป๋าเกอเตะเหล่าหลิวล้มไปข้างหนึ่ง แล้วจุดบุหรี่สูบเอง
เฉินจี้ยิ้มอย่างทุกข์ทรมาน “ก็ยังต้องตายอยู่ดี”
ขณะพูด เลือดจากแผลเฉินจี้ยังไหลออกมาไม่หยุด
“สูบบุหรี่ไหม?”
“ไม่สูบ”
“ต้องการให้ช่วยอะไรไหม?”
“มือถือผมอยู่ที่หมอหลิว น่าจะอัดเสียงหลักฐานการทำผิดกฎหมายระหว่างเขากับลุงผมไว้ ช่วยป่าวประกาศให้ที”
เป๋าเกอไม่คิดว่า เด็กหนุ่มนี้ก่อนตายยังไม่ลืมแก้แค้นศัตรูทุกคนอย่างสาสม......
เขานั่งข้างเฉินจี้แล้วถาม “ยังต้องการอะไรอีกไหม?”
“ไม่มีแล้ว” เสียงเฉินจี้รวยรินลงทุกที ความง่วงถาโถมเข้ามา แต่เขาไม่อยากหลับตา เพียงจ้องมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างใจลอย เห็นพระจันทร์เสี้ยวดุจตะขอเบ็ด
ในห้องผู้ป่วย คนไข้ทยอยลุกขึ้น มองมาทางนี้โดยไม่ส่งเสียง
หลี่ชิงเหนี่ยวเดินมายืนข้างเฉินจี้ ค่อยๆ ลูบปิดดวงตาเฉินจี้ กล่าวเบาๆ “ถอนหายใจดั่งม้าวิ่งผ่านรอยแยก ไฟในหิน ร่างในฝัน สวรรค์ 49 ชั้นรั้งเจ้าไว้ไม่อยู่ ไปเถิด ไปยังที่ที่เจ้าควรไป”
พูดจบ เขากลับมาทำตัวโง่ทึ่มเหมือนเดิม นั่งลงข้างเตียง ส่วนเป๋าเกอคลุมเสื้อถังจวงสีดำลงบนตัวเฉินจี้ หันหลังเดินเข้าสู่ความมืดนอกห้อง “น่าเสียดาย รู้จักกันช้าไป”
(จบตอน)
______________
ปัจจุบันแปลถึงตอน: -
ติดตามผู้แปล : www.facebook.com/bjknovel/
#พระเอกเทพ #นิยายแฟนตาซี #qingshan
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น