ตอนที่ 0012 ออกตรวจคนไข้



รุ่งอรุณ  โลกยังคงมืดสลัว


เฉินจี้ลุกขึ้นนั่งบนเตียงอย่างเชื่องช้า  เขาเอื้อมมือไปคลำหาโทรศัพท์มือถือข้างหมอนโดยไม่รู้ตัว  แต่ตรงนั้นไม่มีอะไร


ชั่วขณะนี้เขาเข้าใจในทันที  โลกที่เขาเคยใช้ชีวิตอยู่  ไม่ใช่ดินแดนที่เอื้อมมือไปถึงได้อีกต่อไป  หากแต่เป็นเพียงบ้านเกิดเมืองนอน


“เดี๋ยวสิ  เราน่าจะยังอยู่ในลานไม่ใช่หรือ” ความทรงจำสุดท้ายของเฉินจี้คือ  การยืนหลักแบกหินข้างต้นแอปริคอต  แต่พอตื่นขึ้นมากลับอยู่ในห้องปีกตะวันตก  เสื้อผ้ายังเป็นชุดเมื่อคืน  ขาดวิ่นเป็นริ้วๆ


อาจารย์อุ้มเขากลับมา  หรือว่าพี่น้องศิษย์ทั้งสอง?  เฉินจี้ไม่อาจแน่ใจได้  เนื่องจากไม่มีความทรงจำแม้แต่น้อย


ยามนี้  กระแสน้ำแข็งแน่นิ่งอยู่ในตันเถียน  ไม่ดุดันเหมือนเมื่อคืน


เฉินจี้ครุ่นคิด  “ครั้งนี้กระแสน้ำแข็งพลุ่งพล่านเพราะใครกันนะ  ครั้งแรกที่กระแสน้ำแข็งปรากฏ  คงมาจากโจวเฉิงอี้  ครั้งที่สองปรากฏขึ้นเพราะ...”


ในสองครั้งที่กระแสน้ำแข็งปรากฏ  แต่ละครั้งมีคนตายหลายคน  แต่คนธรรมดาในจวนโจวเฉิงอี้ไม่เกิดกระแสน้ำแข็ง  สาวใช้ที่ตายในตำหนักหวั่นซิงก็ไม่เกิดกระแสน้ำแข็ง...


ครั้งนี้  จะมาจากทารกในครรภ์ที่จิ้งเฟยเพิ่งแท้งไปหรือไม่


ขณะคิดถึงตรงนี้  เซ่อเติงเค่อที่ปลายเตียงรวมลุกพรวดขึ้นนั่ง  โพล่งออกมาขณะหลับตา  “อาจารย์  ท่านฆ่าข้าเถอะ  ฆ่าข้าเลย  จะได้ไม่มีใครอยู่ดูแลท่านยามแก่เฒ่า!”


เฉินจี้หันไปมองอย่างอึดอัด  เซ่อเติงเค่อพูดจบก็ล้มตัวลงนอนดังตุ้บ  ที่แท้เป็นคำละเมอ...


ไก่ยังไม่ขัน


แปลกประหลาดยิ่ง  เฉินจี้กลับมาหลังเที่ยงคืน  จวบจนตอนนี้ยังนอนไม่ถึงสี่ชั่วโมง  แต่กลับรู้สึกกระปรี้กระเปร่า  ไม่มีความอ่อนล้าและง่วงงุนหลงเหลืออยู่เลย


เป็นการเปลี่ยนแปลงที่กระแสน้ำแข็งกับวิชายืนหลักแบกหินนำมาหรือ


เขานั่งครุ่นคิดบนเตียงนาน  สุดท้ายลงจากเตียงเปลี่ยนเสื้อผ้า  เดินไปทางลานเพื่อหยิบคานหาบ  ร่างผอมบางของหนุ่มน้อยหาบถังไม้สองใบ  เดินออกไปยังถนนอันซีนอกประตู


เมื่อวานตอนรอครอบครัวมาส่งเงินค่าเล่าเรียน  เฉินจี้สังเกตเห็นว่า  แถวนั้นมีบ่อน้ำ  ทั้งย่านต้องไปตักน้ำที่นั่น  ไปช้าต้องต่อแถวยาวเหยียด


ตอนออกประตู  เฉินจี้ชะงักไป  เขาเห็นแมวดำจากตำหนักหวั่นซิง  นั่งหมอบอยู่บนชายคาร้านขายข้าวขายน้ำมันฝั่งตรงข้าม  จ้องมองเขาอย่างเงียบงัน


ที่แท้เมื่อคืนไม่ใช่ภาพลวงตา  แมวดำตัวนี้ถูกลูกปัดในแขนเสื้อดึงดูดมาจริง  ถึงขั้นไม่ยอมตัดใจ  แอบตามมาถึงนอกจวนอ๋อง!


เฉินจี้เหยียบแผ่นหินสีเขียวในยามเช้า  เดินไปยังบ่อน้ำ  แมวดำเหยียบกระเบื้องสีเทาบนชายคาตามมาอย่างไร้เสียง  สายตาไม่เคยละไปจากเขา


บนถนนยาวมีเพียงเขาคนเดียว  บนชายคามีเพียงแมวตัวเดียว


ทั้งสองเดินเคียงข้างกัน  ผ่านหมอกบางในเช้าฤดูใบไม้ร่วง  ราวกับร่วมกันผ่านกาลเวลาอันยาวนาน


เขาหยุดฝีเท้า  หาบคานหาบมองประสานตากับแมวดำ  พูดด้วยความอยากรู้อยากเห็น  “เหมียวเหมียว?”


แมวดำเพียงมองเขาอย่างเย็นชา


แมวดีๆ บ้านไหนจะตั้งชื่อว่าเหมียวเหมียวกัน


เฉินจี้เห็นมันไม่มีปฏิกิริยา  “ซ่างเปียว?”


แมวดำ  “...”


เฉินจี้ลองแบมือให้เห็นลูกปัด  “เจ้าต้องการสิ่งนี้หรือ”


แมวดำแม้ตัวเต็มไปด้วยบาดแผล  แต่ยังคงมองเฉินจี้ด้วยท่าทางสง่างาม  ไม่มีปฏิกิริยาใดเอิกเกริก  ดูเหมือนรอให้หนุ่มน้อยยื่นลูกปัดให้เอง


เฉินจี้ลองยื่นมือขึ้นไปหน่อย


คราวนี้  แมวดำยืนบนชายคากระเบื้องสีเทา  โน้มตัวออกมาเล็กน้อย  เตรียมกระโดดลงมาคาบลูกปัด  แต่ขณะที่มันยื่นคอออกมา  เฉินจี้กลับหุบมือ  เก็บลูกปัดกลับไป


แมวดำ  “...”


มันอ้าปากทำท่าจะร้องเหมียว  แต่สุดท้ายก็ยังวางท่า


ในที่สุด  มันกลับมาทำตัวเย็นชาอีกครั้ง  จ้องมองหนุ่มน้อยอย่างเงียบงัน


เฉินจี้ยัดลูกปัดเข้าในปลายแขนเสื้อ  เดินต่อไปยังบ่อน้ำอย่างเชื่องช้า  แมวดำก็ตามไปอย่างไร้เสียง  จ้องมองเขาอย่างเย็นชา  แผลตรงกระดูกคิ้วซึ่งเพิ่งเกิดเมื่อคืน  ทำให้ดูดุดันขึ้นบ้าง


เฉินจี้ยืนริมบ่อน้ำ  หมุนด้ามไม้หย่อนถังไม้ลงไป  ขณะเตรียมจะกว้านถังขึ้นมา  กลับเห็นแมวดำไม่รู้ว่ากระโดดลงจากชายคาตั้งแต่เมื่อไร  ย้ายมาอยู่ข้างบ่อ  เงยหน้ามองเขา


“เจ้า...”  เฉินจี้ครุ่นคิดนาน  พลันถามว่า  “เจ้าต้องการลูกปัดนี้ใช่ไหม  ให้เจ้าแล้วกัน”


เขาแบมือ  วางลูกปัดไว้ในอุ้งมือ  ไม่แกล้งล้อเล่นกับแมวน้อยอีกต่อไป


แต่แมวดำเพียงยืนอยู่บนขอบบ่อ  มุมปากขวายกขึ้นเล็กน้อย  เสมือนกำลังดูแคลน  จะไม่หลงกลเจ้าอีกแล้วเด็ดขาด!


“เดี๋ยวนะ  แมวตัวนี้กำลังเยาะเย้ยข้าหรือ?”  เฉินจี้ไม่คิดว่าตนจะได้เห็นสีหน้าเหมือนคนขนาดนี้บนตัวแมว...เขามองสำรวจถนนยาวอันไร้ผู้คน  สุดท้ายวางลูกปัดลงบนพื้น  ส่วนตัวเองถอยออกไปสามเมตร  “วางไว้ตรงนั้นแล้ว  คาบไปเองเถอะ”


สัตว์มีสัญชาตญาณ  พวกมันดูเหมือนรู้โดยธรรมชาติว่าอะไรควรกิน  อะไรไม่ควรกิน  ต่อให้เป็นพิษก็จะหายาถอนพิษเอง


มนุษย์กลับขาดสัญชาตญาณเช่นนี้  กล้ากินทุกอย่าง  ถึงขั้นกินเห็ดพิษเป็นความสนุก...


ดังนั้น  เฉินจี้ไม่กังวลว่าแมวดำกินเข้าไปจะเป็นอะไร  เขาเพียงอยากรู้ว่า  แมวดำถูกดึงดูดเพราะเหตุใด  และอยากรู้ว่าแมวดำกลืนลูกปัดแล้วจะเกิดอะไรขึ้น


คำตอบของกระแสน้ำแข็ง  อยู่ที่แมวดำตัวนี้แล้ว


ข้างบ่อน้ำ  แมวดำเข้าใกล้อย่างระมัดระวัง  ครู่หนึ่งมองลูกปัด  ครู่หนึ่งก็มองเฉินจี้อย่างระแวดระวัง  ผ่านไปนาน  มันจึงเข้ามาใกล้  ดมกลิ่นลูกปัดจากระยะห่าง


“กินเถอะ”  เฉินจี้มองด้วยความคาดหวัง


แต่ว่า  เมื่อแมวดำอ้าปากจะคาบ  หมอกสีเทาเรียวเล็กคล้ายงูในลูกปัด  พลันม้วนตัวรุนแรงราวกับสิ่งมีชีวิต  จนแมวดำถูกพลังล่องหนผลักกระเด็นออกไป!


“อ้าว?”  เฉินจี้ตะลึงงันกับปรากฏการณ์เหนือธรรมชาตินี้  เขาแน่ใจยิ่งว่า  เมื่อครู่มีพลังล่องหนพุ่งออกจากลูกปัด  ผลักแมวดำออกไป!


แมวดำตัวน้อยโก่งหลัง  หันหน้าเข้าหาลูกปัดในท่าพร้อมสู้  ไม่กล้าเข้าใกล้อีกต่อไป


“เพราะอะไรกันนะ”  เฉินจี้รำพึงสงสัย


เสียงเพิ่งขาด  เสียงกีบม้าเร่งรีบดังมาแต่ไกล


เฉินจี้หันไปมอง  เห็นรถม้าคันหนึ่งวิ่งจากไกลมาใกล้  มุ่งไปทางโรงยา  ทะลุทะลวงหมอกอันเงียบสงบ  รถม้าผ่านหน้าเขาไป  สารถีขับรถม้าด้วยสีหน้าร้อนรน  คงมีธุระสำคัญยิ่ง


“ดูเหมือนมาหาอาจารย์นะ  ข้าต้องรีบกลับแล้ว”  เฉินจี้พูด  “อ้อใช่  เจ้า...”


พอเขาหันกลับมาอีกครั้ง  แมวดำหายไปแล้ว  เหลือเพียงลูกปัดนอนนิ่งอยู่บนพื้น


...


...


เฉินจี้หาบคาน  เดินโซเซกลับถึงโรงยา  รถม้าคันนั้นจอดอยู่หน้าโรงยา  ม้าสองตัวแข็งแรงงดงาม  กล้ามเนื้อทั่วร่างเป็นมัดคมชัด  แผงคอหวีเรียบเรียง


ตัวรถไม้สลักลายนกคีรีบูน  หางนกยาวเหยียดถึงท้ายรถ  ละเอียดอ่อนวิจิตร


ข้างรถ  เซ่อเติงเค่อกำลังช่วยสารถียกสัมภาระขึ้นรถ


เฉินจี้หาบคานหาบเข้าไปใกล้ถามว่า  “เป็นอะไรหรือ”


ยามนี้  เซ่อเติงเค่อกลั้นความยินดีระหว่างคิ้วตาไม่อยู่  “อาจารย์จะไปตรวจรักษาคนไข้”


“เจ้าดีใจอะไรนักหนา...”


“แหงอยู่แล้ว!”  เซ่อเติงเค่อกดเสียงต่ำลงพูดว่า  “อาจารย์ไปคราวนี้  อย่างน้อยต้องสิบวันครึ่งเดือน  พวกเราไม่ต้องถูกตี  ไม่ต้องถูกด่า  ยังไม่ถูกสอบวิชา  เจ้าไม่ดีใจหรือ  ตอนนั้นพวกเรายังไปตลาดบูรพา  ไปตรอกหงอี้ได้...ถ้าพี่สามของข้าช่วยผู้มีบุญจัดงาน  ข้าพาพวกเจ้าแอบเข้าไปฟังงิ้วได้ด้วย  เมื่อวันก่อนยังได้ยินว่า  คณะหม่าเจียของโรงละครเพลงจะกลับมาแสดงงานด้วย!”


“ไปรักษาให้บ้านใครหรือ”  เฉินจี้อยากรู้


เซ่อเติงเค่อกดเสียงต่ำว่า  “ได้ยินว่า  ตอนกรมสืบลับของเสนาบดีฝ่ายในไล่ล่าสายลับราชวงศ์จิ่ง  จับลูกหลานรุ่นหนุ่มของตระกูลหลิวหลายคนมาขังคุกใน  คนหนึ่งถูกทรมานตายในคุก  ท่านผู้เฒ่าตระกูลหลิวได้ข่าวแล้วโกรธจนสลบไป  บัดนี้ใกล้สิ้นใจแล้ว”


เฉินจี้ได้ฟังคำนี้  พลันนึกถึงสีหน้ายิ้มแย้มของหยุนหยางขณะยืนหน้าจวนโจว  นั่นคือความรู้สึกวิกฤติที่ยังไล่ไม่หายจวบจนปัจจุบัน  “กรมสืบลับมีอำนาจมากขนาดนี้เชียว?”


“นั่นสิ”  เซ่อเติงเค่อพูด  “ธิดาท่านผู้เฒ่าหลิวเป็นไทเฮาองค์ปัจจุบัน  บุตรชายเป็นเสนาบดีกรมอาลักษณ์คนปัจจุบัน  แม้ตระกูลใหญ่ขนาดนี้  กรมสืบลับยังจับไม่เกรงเลย  คนในยุทธภพต่างพูดกันว่า  กรมสืบลับทำงานฆ่าก่อนทูลทีหลังได้  เป็นพระราชอำนาจพิเศษ”


เฉินจี้รู้สึกแปลกใจ  กรมสืบลับต่อให้มีอำนาจมาก  ก็ไม่น่าข้ามหัวไทเฮากับเสนาบดีกรมอาลักษณ์ได้กระมัง?


ขณะทั้งสองคุยกัน  เห็นหมอเฒ่าเหยาเดินออกมาจากโรงยา  ข้างกายมีชายวัยกลางคนท่าทางน่าเกรงขามคนหนึ่งเดินมาด้วย


หมอเฒ่าเหยากำชับศิษย์ทั้งสามว่า  “วันที่ข้าไม่อยู่  พวกเจ้าห้ามจับชีพจรผู้ป่วยเอง  หากมีผู้ป่วยเอาใบสั่งยามา  พวกเจ้าก็จับยาตามใบสั่ง  อย่าชั่งผิดให้ข้าขาดทุน  ข้ากลับมาจะตรวจสินค้าคงคลังทันที  ใครกล้าให้ข้าขาดทุน  ก็ต้องชดใช้เงินนั้นให้ครบถ้วน!”


เฉินจี้ใจหายวาบ  ตนยังคิดไม่ตกเสียทีว่า  จะจัดการโสมแก่นั้นอย่างไร  หมอเฒ่าเหยากลับมาตรวจสินค้าคงคลังแล้วพบปัญหา  ตนต้องทำอย่างไร


ชายวัยกลางคนด้านข้างเอ่ยขึ้นมา  “ท่านหมอ  พวกเรารีบเดินทางเถิด  ที่บ้านคงรอไม่ไหวแล้ว  อย่างไรก็ต้องประคองให้บิดาข้าที่รีบรุดมาจากเมืองหลวง  ได้พบท่านผู้เฒ่าเป็นครั้งสุดท้ายให้ได้”


หมอเฒ่าเหยาพยักหน้า  “ไป”


หลิวฉวีซิงเข้าไปประคองหมอเฒ่าเหยาขึ้นรถม้า  แล้วมองดูรถม้าวิ่งจากไป  เสียงกีบม้ากระทบถนนแผ่นหินสีเขียวดังกังวาน


เซ่อเติงเค่อชื่นชมว่า  “อยากซื้อรถม้าแบบนี้สักคัน  ต้องใช้เงินเท่าไรกันนะ!”


หลิวฉวีซิงหัวเราะแล้วแดกดัน  “ไม่มีความรู้เอาเสียเลย  เห็นนกคีรีบูนบนรถม้านั่นไหม  นี่เป็นเพราะว่า  ตระกูลหลิวของข้ามีขุนนางชั้น 2 ขึ้นไป  ได้รับพระราชทานจากเบื้องบนแล้ว  ถึงใช้ลวดลายนี้ได้  ในราชวงศ์หนิงของเรา  ไอ้พวกสามัญชนแค่นั่งเกี้ยวก็ผิดกฎแล้ว  เจ้ามีกี่หัวถึงกล้านั่งรถม้าแบบนี้?”


เซ่อเติงเค่อหัวเราะเย็นเสียงหนึ่ง  “พูดราวกับเจ้าเป็นคนตระกูลหลิวจริงๆ งั้นแหละ!”


หลิวฉวีซิงจ้องตาขวางอย่างโกรธขึ้ง  “ถ้าข้าไม่ใช่คนตระกูลหลิวแล้วใครเป็น?”


“บ้านเจ้าเป็นแค่สาขาห่างไกล  ตระกูลหลิวไม่รู้จักด้วยซ้ำ  เขารับรองเจ้าด้วยหรือ?”  เซ่อเติงเค่อย้อนถาม “บ้านพวกข้าถึงจะจน  แต่มีกระดูก  หากินด้วยฝีมือที่ท่าเรือ  ไม่เคยเกาะกิ่งผู้มีอำนาจ”


หลิวฉวีซิงโกรธจัด  “ข้ายังเคยไปกับพ่อแม่ในงานเลี้ยงฉลองอายุเก้าสิบของท่านผู้เฒ่าหลิวด้วย!”


“ใช่  นั่งโต๊ะคนรับใช้”


“ไอ้เวร!”


เฉินจี้มองทั้งสองคนฉุดกระชากกันเข้าไปในโรงยาอย่างอึดอัด  ทันใดนั้น  เขารู้สึกถึงความผิดปกติแผ่วเบา  จึงหันหัวไปมอง  จนพบด้วยความตกตะลึงว่า  แมวดำตัวน้อยไม่ได้จากไปจริง  แต่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืดของชายคาฝั่งตรงข้าม  แอบสังเกตพวกเขาอยู่


(จบตอน) 

______________

ปัจจุบันแปลถึงตอน: -

ติดตามผู้แปล : www.facebook.com/bjknovel/

#พระเอกเทพ #นิยายแฟนตาซี #qingshan


Previous Next

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตอนที่ 0001 กลับสู่ศูนย์

ตอนที่ 0007 บุพการี

ตอนที่ 0010 ตำหนักหวั่นซิง