ตอนที่ 0011 แมวดำตัวน้อย
“นายหญิงจิ้งเฟยแท้งลูก ก็เพราะถูกวางยาพิษแบบเรื้อรังนั่นเอง”
เสียงของเฉินจี้ เสมือนหินที่ขว้างลงในสระน้ำนิ่ง กระเพื่อมคลื่นนับไม่ถ้วน
แม้แต่ควันธูปจากกระถางทองเหลืองบนโต๊ะน้ำชา ที่เดิมลอยตรงขึ้นสู่หลังคา บัดนี้กลับปั่นป่วนยุ่งเหยิง
แม่นมชุนหรงก้าวเข้ามาหนึ่งก้าว “เจ้าแน่ใจหรือ? นายหญิงข้าแท้งลูกเพราะมีคนวางยาพิษจริงหรือ? บอกมา ใครเป็นคนวางยาพิษ!”
หลังฉากกั้นมีเสียงเสียดสีของผ้าปูที่นอน ดูเหมือนนายหญิงจิ้งเฟยจะเอื้อมตัวลุกขึ้นนั่ง
บ่าวฉกรรจ์สี่คนข้างกายเฉินจี้คลายมือโดยไม่รู้ตัว เลิกดึงรั้งอย่างหยาบคาย
ทุกคนต่างรอคอยคำตอบจากเขา
ทว่า นายหญิงจิ้งเฟยถูกวางยาพิษจริงหรือไม่? เฉินจี้เองก็ไม่แน่ใจ
เพียงแต่ในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานตรงนี้ หากไม่พูดอะไรที่น่าตกใจ เขาคงต้องตายในจวนจิ้งอ๋องเป็นแน่
นายหญิงจิ้งเฟยหลังฉากกั้นถามด้วยความสงสัย “เจ้ามั่นใจว่าข้าถูกใครวางยาพิษหรือ?”
เฉินจี้ไม่ตอบ เพียงเก็บกิริยาเสื้อผ้าที่ยับยู่ยี่ แล้วถามอย่างสงบ “ในตำหนักหวั่นซิง นอกจากนายหญิงจิ้งเฟยแล้ว มีใครรู้สึกไม่สบายตัวอีกบ้างหรือไม่?”
แม่นมชุนหรงส่ายหน้า “ไม่มี ในจวนแม้แต่กิจวัตรประจำวันของสาวใช้ยังมีบันทึก หากใครไม่สบายตัวจะเข้าตำหนักหวั่นซิงไม่ได้เด็ดขาด เพื่อป้องกันลมป่วยติดต่อถึงทารกในครรภ์”
เฉินจี้ครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วหันไปมองฉากกั้น “ท่านหญิง ข้าขอค้นหาเบาะแสในห้องของท่านได้หรือไม่?”
“บังอาจ” แม่นมซีถังข้างกายหยุนเฟยตวาดด้วยความโกรธ “เจ้าเป็นบุรุษจากเรือนนอก จะเข้าไปค้นในห้องนายหญิงจิ้งเฟยได้อย่างไร? เสียมารยาท......”
นายหญิงจิ้งเฟยเอ่ยคัดค้าน “อยากค้นก็ค้นเถิด หากค้นหาตัวการที่สังหารลูกข้าได้จริง ค้นของสักหน่อยจะเป็นไรไป? ชุนหวา พาหมอน้อยจากโรงยาท่านนี้ออกไปก่อน ชุนหรง เจ้าจัดเก็บเสื้อผ้าข้าหน่อย แต่งตัวให้ข้าเสร็จแล้วค่อยเชิญเขาเข้ามาตรวจดู”
นี่คือศักดิ์ศรีของผู้สูงศักดิ์ และยังช่วยให้เฉินจี้มีเวลาคิดหาเบาะแสด้วย
ชุนหวาพาเฉินจี้ลงบันได พลางกดเสียงถามด้วยความร้อนใจ “มีคนวางยาพิษจริงหรือ?”
ใต้ม่านราตรี เฉินจี้ยืนอยู่ริมสระปลาในตำหนักหวั่นซิง มองปลาคาร์ปว่ายวนไปมาในน้ำมืดสลัว แต่ไม่ตอบคำถาม เพียงครุ่นคิด
ครู่ต่อมา แม่นมชุนหรงเรียกเขาขึ้นบันไดอีกครั้ง
ขณะนี้นายหญิงจิ้งเฟยสวมเสื้อคลุมสีแดงนั่งอยู่บนเก้าอี้ อายุราวสามสิบสามปี ผมไม่ได้เกล้าขึ้น เพียงใช้ผ้ารัดผมไว้ด้านหลัง
นางจ้องมองเฉินจี้ด้วยใบหน้าซีดขาว “ข้าเพิ่งนึกถึงที่เจ้าพูดเรื่องวางยาพิษระยะยาว จะเป็นไปได้ไหมว่า มีใครมาเล่นตุกติกกับธูป......”
“ไม่ใช่” เฉินจี้ส่ายหน้า “ควันธูปฟุ้งกระจายไปทั่ว หากมีคนทำอะไรกับมัน แม่นมชุนหรงก็ควรจะไม่สบายตัวด้วยถึงจะถูก ดังนั้น คนวางยาพิษต้องใช้ของที่ท่านหญิงใช้คนเดียวแน่นอน และต้องเป็นของใช้ประจำวันด้วย ไม่อย่างนั้นหากเว้นช่วงไป สารพิษก็จะถูกร่างกายขับออก”
ทุกคนเห็นเขามั่นใจจึงไม่พูดอะไรอีก ปล่อยให้เขาค้นหาไปทั่ว
นาทีแล้วนาทีเล่าผ่านไป เฉินจี้หยิบกล่องชาดขึ้นมา
“ช่วงนี้ท่านหญิงแต่งตัว ได้ใช้ชาดนี้บ้างหรือไม่?” เขาพินิจกล่องชาดในมือ ด้านบนฝังมุกรูปผีเสื้อสีขาว งดงามดุจงานศิลปะ
นายหญิงจิ้งเฟยส่ายหน้า “ตั้งแต่ตั้งครรภ์ก็ไม่ได้ใช้ของพวกนี้แล้ว กลัวจะไม่ดีต่อทารก”
เฉินจี้วางกล่องชาดลง สายตากวาดผ่านสิ่งของทีละชิ้น แต่ยังหาเบาะแสไม่พบ
ทีละเล็กละน้อย เหงื่อเม็ดละเอียดผุดขึ้นบนหน้าผากเขา
อยู่ที่ไหน? อยู่ที่ไหนกันแน่?
ขณะนี้ เขาคิดทบทวนเบาะแสทุกอย่างในใจไม่หยุด นี่คือโอกาสเดียวที่เขาจะมีชีวิตรอด!
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร นายหญิงจิ้งเฟยก็หมดความอดทน “เดิมคิดว่าเจ้ามั่นใจเต็มประดา ไม่นึกว่าจะหลอกลวง ช่างเถิด เจ้าคงกลัวจึงคุยโตไป บัดนี้ไม่ต้องกลัวจะถูกโบยตายแล้ว ลากออกไปเฆี่ยนสิบทีก็พอ”
หยุนเฟยที่นั่งนิ่งมาตลอดก็หมดความสนใจ บรรจงลุกยืน “เหนื่อยแล้ว ข้าจะกลับไปพัก”
“รอก่อน” เฉินจี้หยิบถ้วยสีน้ำเงินขึ้นมาทันที
ถ้วยสีน้ำเงินดุจน้ำทะเล รอบด้านมีสีเขียวคล้ายหมอกลอยล่อง งดงามราวกับไม่ใช่ของบนโลกมนุษย์
นายหญิงจิ้งเฟยนั่งตัวตรง ถามด้วยความสงสัย “ถ้วยใบนี้มีปัญหาหรือ?”
เฉินจี้ถามอย่างจริงจัง “ท่านหญิง ในปากท่านมีรสโลหะหรือไม่ แม้บ้วนปากก็ไม่หายใช่หรือไม่?”
นายหญิงจิ้งเฟยประหลาดใจ “เจ้ารู้ได้อย่างไร? นี่คืออาการพิษกำเริบหรือ?”
เฉินจี้ถอนหายใจยาว ทั้งร่างผ่อนคลายลงจากความตึงเครียดสูงสุด “เป็นพิษตะกั่ว”
แม่นมชุนหรงงุนงง “หมายความว่าอย่างไร? ไม่เคยได้ยินมาก่อน”
“ข้าหมายความว่า ถ้วยใบนี้มีพิษ”
พิษตะกั่วเป็นสิ่งแปลกประหลาดสำหรับคนยุคนี้ แต่เฉินจี้กลับไม่แปลกใจเลย
ถ้วยใบนี้มีชื่อทางวิชาการว่า ถ้วยแก้วตะกั่วแบเรียม เป็นภาชนะชนิดหนึ่ง เกิดขึ้นในสมัยโบราณเมื่อศิลปะการทำแก้วเพิ่งถือกำเนิด บันทึกการใช้งานเก่าสุดย้อนไปถึงราชวงศ์ฮั่น ความงามของมันดูเหนือกาลเวลา เป็นที่โปรดปรานของผู้สูงศักดิ์
แต่ถ้วยใบนี้แม้จะงาม กลับซ่อนพิษไว้ ผู้ใหญ่อาจต้องใช้นานหลายปีกว่าจะเกิดปัญหา แต่ปริมาณพิษนี้สำหรับทารกในครรภ์ถือว่าถึงแก่ชีวิตแล้ว
ขณะนี้ หยุนเฟยจ้องมองเฉินจี้ด้วยแววตาเป็นประกาย เต็มไปด้วยความสนใจ เมื่อเด็กหนุ่มคนนี้พูดถึงรสโลหะในปากนายหญิงจิ้งเฟย ท่าทีของนายหญิงจิ้งเฟยก็บ่งบอกแล้วว่า เด็กหนุ่มคนนี้หาต้นตอของพิษพบแล้วจริงๆ!
นายหญิงจิ้งเฟยครุ่นคิด “ถ้วยใบนี้เป็นของข้า......”
เฉินจี้รีบพูด “ท่านหญิง ต้นตอพิษหาเจอแล้ว ส่วนถ้วยมาจากไหนไม่เกี่ยวกับข้า ตอนนี้ข้ากลับได้หรือยังขอรับ? คืนนี้มีอันล่วงเกินมาก ขอท่านโปรดอภัย”
นายหญิงจิ้งเฟยนิ่งเงียบครู่หนึ่ง “หมอหลวงเหยาไปหาเด็กฝึกที่รู้จักกาลเทศะแบบเจ้ามาจากไหน? วางใจเถิด วันนี้เจ้าช่วยข้าหาตัวการที่ฆ่าลูกข้าเจอ วันหน้าจะมีรางวัลอย่างงามแน่นอน ในตำหนักหวั่นซิงจะไม่มีใครกลั่นแกล้งเจ้าแน่”
แม้หาตัวการเจอ แต่นางเพิ่งผ่านความเจ็บปวดจากการสูญเสียบุตร ยากจะดีใจขึ้นมาได้
หยุนเฟยเอ่ยเสียงอ่อนหวาน “ยังดีที่น้องหาต้นตอพิษเจอ ไม่อย่างนั้น หากยังใช้ถ้วยนี้ดื่มน้ำต่อไป คงอันตรายแน่ เอ๊ะ……ข้าจำได้ว่าถ้วยใบนี้ ญาติฝ่ายแม่ของท่านส่งมาใช่หรือไม่? ตอนงานเลี้ยงกวีเทศกาลฤดูใบไม้ผลิ ท่านยังเอาออกมาให้ภรรยาท่านจื่อหลิว*ชมเป็นพิเศษ”
(*จื่อ — ยศขุนนาง )
สีหน้านายหญิงจิ้งเฟยเปลี่ยนไปเล็กน้อย
ในบรรยากาศที่ละเอียดอ่อนของตำหนักหวั่นซิง เฉินจี้ไม่กล้าพูดอะไรสักคำ ได้แต่ก้มหน้าแอบใช้หางตามองสำรวจสภาพแวดล้อม
แมวดำกับแมวขาวยังคงตีกันอยู่ พูดให้ถูกคือ แมวดำถูกตีจากบูรพาไปประจิม จากประจิมไปบูรพา แมวดำตัวเล็กเกินไป ไม่มีแรงสู้ตอบเลย
น่าสงสารจริง
แม้แต่แมวในคฤหาสน์ใหญ่ก็ยังลำบาก......
เดี๋ยวก่อน เฉินจี้ไม่รู้ว่าเป็นความรู้สึกผิดของตนหรือไม่ เขารู้สึกว่าแมวดำตัวนั้นขณะหนีเอาชีวิตรอด มักจะมองมายังแขนเสื้อเขาเป็นระยะ
แม่นมซีถังข้างกายหยุนเฟยกระซิบ “นายหญิง เราควรกลับไปพักได้แล้วเพคะ”
พูดไปพลาง ก็อุ้มแมวขาวเตรียมจากไป
เฉินจี้ตะลึง ที่แท้แมวขาวเป็นของหยุนเฟย แมวดำเป็นของจิ้งเฟย
ภารกิจของแมวขาวตัวนี้ ดูเหมือนจะมาตีแมวดำโดยเฉพาะ
“ไม่รบกวนน้องพักผ่อนแล้ว” หยุนเฟยลุกขึ้นอย่างสง่า “ช่วงนี้พยายามอย่าออกนอกเรือน พักฟื้นให้ดีนะ”
จิ้งเฟยนิ่งเงียบครู่หนึ่ง “ขอบคุณท่านพี่”
หยุนเฟยยิ้มหันกาย พูดกับสาวใช้เยาว์วัยคนหนึ่ง “ซีปิ่ง เจ้าไปส่งท่านนี้......เจ้าชื่อเฉินจี้ใช่หรือไม่”
เฉินจี้ก้มหน้า “ใช่ขอรับ เฉินจี้”
“ไปเถิด ซีปิ่งส่งเขาให้ถึงโรงยานะ”
......
......
ออกจากตำหนักหวั่นซิง ก็เป็นเวลาเที่ยงคืน ผ่านวันใหม่มาหนึ่งเค่อแล้ว
เหงื่อบนหลังเฉินจี้ถูกลมฤดูใบไม้ร่วงพัด จนเกิดความหนาวเหน็บ เขาตามแม่นางซีปิ่งอย่างแนบชิด กลัวว่าหากเดินช้าจะเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นอีก
ภัยคืนนี้ ไม่ได้รอดมาด้วยโชค กลับทำให้เขารู้สึกหดหู่ใจ
บนรถไฟสีเขียวที่โยกเยกมุ่งหน้าสู่ปักกิ่ง บิดาเคยเล่าเรื่องโรมโบราณ ซึ่งสันนิษฐานว่าเสื่อมโทรมเพราะพิษตะกั่วให้เขาฟัง เขารู้อันตรายของพิษตะกั่วตั้งแต่ตอนนั้น และรู้ว่าสมัยโบราณหากต้องการให้ภาชนะสวยงาม ส่วนใหญ่ต้องใช้เทคนิคตะกั่ว ดังนั้น สมัยโบราณจึงมีปรากฏการณ์พิษตะกั่วแพร่หลายบ่อยครั้ง
ซีปิ่งสวมชุดหรูฉวินสีเหลืองอ่อน ฝีเท้าเบาหวิวดุจนกขมิ้น แต่แม่นางคนนี้ดูเหมือนผ่านการฝึกมา เดินไปมา ปิ่นปักผมบนศีรษะแทบไม่สั่นไหว
เรือนหลังใหญ่โตยังคงมีผู้คนขวักไขว่ไม่หยุด บ่าวไพร่เห็นซีปิ่งต่างคำนับ ดูมีฐานะสูงทีเดียว
ต่างจากคนรับใช้รุ่น ‘ชุน’ ของตำหนักหวั่นซิงที่เศร้าหมอง ซีปิ่งมักยิ้มแย้มตอบรับคนอื่น อารมณ์ดีเสมอ
ซีปิ่งเดินไปเดินมา แล้วเอ่ยถามกะทันหัน “เจ้าคิดว่าคนที่มอบถ้วยใบนั้นให้จิ้งเฟย ตั้งใจหรือเปล่า?”
เฉินจี้ไม่ตอบ ไม่กล้าตอบคำถามนี้ เพียงยิ้มทำเป็นไม่ได้ยิน
ซีปิ่งเห็นดังนั้นจึงฮึดฮัดเสียงหนึ่ง “ไม่พูดก็ช่าง”
ก่อนเฉินจี้กลับโรงยา แม่นางซีปิ่งมองสำรวจเขา ยิ้มหวานพูดว่า “คืนนี้เสื้อผ้าเจ้าถูกคนตำหนักหวั่นซิงดึงขาด พรุ่งนี้ข้าจะไปสั่งตัดให้สองชุดที่สำนักตัดเย็บ! เจ้าจำไว้ให้ดี ในจวนนี้มีแต่นายหญิงข้าที่ใจกว้างเหนือใคร เป็นเด็กฝึกในโรงยาไม่มีอนาคตอะไร หากเจ้าถูกใจนายหญิงข้าได้ อนาคตข้างหน้าสดใสแน่นอน”
เฉินจี้ครุ่นคิดครู่หนึ่ง “ขอบคุณความกรุณาของนายหญิงหยุนเฟย ไม่ต้องตัดเสื้อผ้าให้ข้าหรอก”
ซีปิ่งกลอกตาขาวอย่างน่ารัก “คนอื่นอยากได้ความโปรดปรานจากนายหญิงข้ายังไม่ได้เลย เจ้านี่ดี กลับผลักออก อย่าปฏิเสธเลย นายหญิงข้าประทานของให้เจ้า เจ้าเป็นแค่เด็กฝึกตัวจ้อย มีสิทธิ์อะไรจะปฏิเสธ ข้ากลับล่ะ!”
ซีปิ่งหันหลังจากไป เฉินจี้ผลักประตูเข้าไปในโรงยา
ขณะปิดประตู เขาพิงประตูรู้สึกเหนื่อยล้า ตั้งแต่มาถึงโลกนี้ วิกฤติไม่เคยหยุด เขาต้องตั้งสติเต็มพิกัดถึงจะรับมือได้
“วิชาหกเหยาของอาจารย์ดูเหมือนจะจริงนะ” เฉินจี้ถอนหายใจ ไม่ว่าคนอื่นจะเชื่อหรือไม่ เขาเชื่อแล้ว
ไม้เซียมซีคืนนี้ แท้จริงแล้วอันตรายยิ่งนัก เผลอนิดเดียวก็ตายไม่มีที่ฝัง
ต่อไปจะไม่เข้าจวนเด็ดขาด ต้องหลบให้ไกล
เฉินจี้ลากร่างอ่อนล้า เดินอย่างเชื่องช้าไปทางลานหลัง
ยืนข้างต้นแอปริคอต เขาได้ยินเสียงกรนของเซ่อเติงเค่อกับหลิวฉวีซิงจากห้องนอนเด็กฝึก พี่ชายทั้งสองหลับสนิท
ไม่มีใครรอเขากลับมา ไม่มีใครสนใจว่าเขาจะตายในจวนจิ้งอ๋องหรือไม่
โลกนี้ไม่มีใครช่วยเขา เขามีแต่ตัวเขาเอง
ขณะครุ่นคิด ร่างเฉินจี้พลันแข็งทื่อ
กระแสน้ำแข็งในตันเถียน ซึ่งรุนแรงกว่าเมื่อวานหลายเท่า กำลังพลุ่งพล่าน อาละวาดไปทั่วร่าง เพียงชั่วดีดนิ้ว เฉินจี้ก็รู้สึกว่าเลือด กล้ามเนื้อ กระดูก ถูกแช่แข็งจนหมดสิ้น
ท่ายืนหลักแบกหิน!
เฉินจี้ดิ้นรนยืนหลักในลาน จัดท่าแบกหิน เพื่อต้านกระแสน้ำแข็ง
แต่กระแสน้ำแข็งไม่ได้หดกลับเข้าตันเถียนเหมือนเมื่อวาน เพียงแค่ถูกกดดันไว้ไม่ให้ปั่นป่วนมากนัก
กระแสอุ่นหลังเอวพลุ่งพล่านออกมา เริ่มชักเย่อกับกระแสน้ำแข็ง เฉินจี้ไม่อาจขยับตัว ได้แต่รักษาท่ายืนหลักแบกหินไว้ตลอด
ความเหนื่อยล้ากับความหนาวเย็นผสมปนเปกัน ยิ่งนานไป เปลือกตาเขายิ่งหนัก หลังจากหายใจไม่กี่ครั้ง ก็หลับไปในท่ายืนประหลาดนี้ข้างต้นแอปริคอต
บนยอดต้นแอปริคอต อีกาตัวหนึ่งร่อนลงมา จ้องมองเฉินจี้ที่กลายเป็นรูปปั้นในราตรีมืดมิด
(จบตอน)
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น