ตอนที่ 0013 รับแมว
บนถนน ยิ่งนานเข้าผู้คนก็ยิ่งพลุกพล่าน เพื่อนบ้านต่างทักทายกัน บ้างก็เข็นรถเข็นไม้ล้อเดียวออกไปทำงาน บ้างก็เปิดประตูทำการค้า ในที่สุดถนนอันซีก็มีกลิ่นอายความเป็นอยู่ของผู้คน
แมวดำตัวน้อยซ่อนตัวอยู่ในเงามืด แววตาระแวดระวังและเย็นชา แต่ยังคงไม่ยอมจากไป
“ลูกแก้วนี้คงสำคัญกับเจ้ามากสินะ” เฉินจี้พึมพำกับตัวเอง “ถึงจะถูกข้าแกล้งหลายครั้ง ถึงจะถูกลูกแก้วดีดออกไป ก็ยังไม่ยอมตัดใจ”
เขาโบกมือเรียกแมวดำตัวน้อย ส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายตามตนเข้าไปในโรงยา แต่แมวดำตัวน้อยไม่ขยับเขยื้อน เพียงแอบสังเกตอยู่เท่านั้น
ขณะนั้น มีเสียงดังมาจากร้านอาหารฝั่งตรงข้าม คนงานหนุ่มฉกรรจ์ในร้านถอดบานประตูออก ยกลังถึงซาลาเปาหมั่นโถวมาวางหน้าประตูทีละลัง ลังถึงระอุไอน้ำสีขาวภายใต้แสงอาทิตย์ยามเช้า
เฉินจี้เงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง กลับเห็นแมวดำตัวน้อยจ้องลังถึงตาไม่กะพริบ......
แววตาของแมวดำตัวน้อย ทำให้เขานึกเห็นภาพตัวเองตอนเด็ก บนรถไฟสีเขียวจ้องมองบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปบนโต๊ะของคนอื่น
เฉินจี้ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เดินเข้าไปถามว่า “ซาลาเปาลูกละเท่าไร?”
คนงานร้านอาหารยิ้มตอบว่า “หมอเฉินน้อยนี่เอง ซาลาเปายังคงลูกละสองเหรียญเงิน ไม่เคยเปลี่ยนราคา”
เฉินจี้ล้วงเหรียญเงินสองเหรียญออกมาจากแขนเสื้อ......นี่คือค่าจ้างถูพื้นเมื่อวาน และเป็นเงินเพียงสองเหรียญที่เขามีอยู่
“เอาลูกหนึ่งแล้วกัน” เขายัดเหรียญเงินสองเหรียญใส่มือคนงาน
คนงานถามอย่างร่าเริง “ลูกเดียวหรือ? พอกินไหม”
เฉินจี้ยิ้มตอบ “ข้ามีแค่สองเหรียญเงิน มากกว่านี้ก็ซื้อไม่ไหว”
คนงานร้านอาหารแปลกใจไปครู่หนึ่ง สมัยนี้ใครเล่าจะยอมรับว่าตัวเองลำบากจนซาลาเปาสองเหรียญเงินยังไม่กล้ากินเพิ่มอีกลูก?
ซาลาเปาลูกละสองเหรียญ ข้าวสารชั่งละสิบเหรียญ ไข่ไกชั่งละยี่สิบเหรียญ แม้แต่คนจนที่สุด คงไม่ถึงขั้นแค่สองเหรียญเงินก็หาไม่ได้
แต่เฉินจี้ท่าทางเปิดเผย ราวกับไม่รู้สึกว่านี่เป็นเรื่องใหญ่โตอะไร
“ได้เลย งั้นขายให้ท่านหนึ่งลูก” คนงานร้านอาหารตั้งสติได้แล้วพูดอย่างกระตือรือร้น
เฉินจี้เหลือบมองแมวดำตัวน้อยบนชายคา พลันถามขึ้นว่า “ขอถามท่านหน่อย แถวนี้มีร้านขายปลาไหม”
“ท่านจะซื้อปลาหรือ?”
“ถามเผื่อไว้ก่อน ตอนนี้ยังไม่มีเงินซื้อหรอก”
คนงานร้านอาหารยิ้มตอบว่า “แถวนี้มีแต่ขายปลาเค็มรมควัน ถ้าท่านอยากได้ปลาสดต้องไปตลาดบูรพา ไปกลับคงใช้เวลาหนึ่งชั่วยามกว่า” (* 1 ชั่วยามเท่ากับ 2 ชั่วโมง)
“ปลาแพงไหม?”
“นั่นต้องดูว่าเป็นปลาอะไร” คนงานยิ้มตอบ “ปลาจีนปลาหญ้าถูก สิบเหรียญเงินต่อชั่ง ปลากะพงจะแพงหน่อย สามสิบเหรียญเงินต่อชั่งได้ พ่อค้าเศรษฐีจากทั้งเหนือใต้และนักปราชญ์ที่ไปมาตลาดบูรพา ว่ากันว่ายังกินปลาทะเลได้ด้วย ได้ยินว่าสมัยเมืองหลัวรุ่งเรือง ทุกวันมีปลาทะเลขนเข้ามามากมาย”
เฉินจี้ถามขึ้นลอยๆ “ตอนนี้เมืองหลัวไม่ดีแล้วหรือ?”
“ทุกวันนี้ไม่เหมือนแต่ก่อนแล้ว เมืองของเราในสมัยราชวงศ์ก่อนเป็นนครหลวง หรูหราฟุ่มเฟือย ตอนนี้ตกอับแล้ว ก็มีแต่พวกนายท่านบางคน ยังคอยพูดเรื่องเมืองหลวงมาอวด แต่ใครจะไม่รู้ ความจริงแล้วทุกวันนี้ ที่รุ่งเรืองคือเซิ่งจิงทางเหนือ จินหลิงทางใต้” คนงานเปิดฝาลังถึง ท่ามกลางไอน้ำสีขาวพวยพุ่งใส่หน้า เขาใช้กระดาษหยาบห่อซาลาเปาลูกหนึ่งยื่นมาให้ “เอ้า ซาลาเปาของท่าน”
เฉินจี้ถือซาลาเปาแต่ไม่ได้กิน กลับหันหลังวางมันไว้บนธรณีประตูโรงยา แล้วจึงก้มตัวหาบคานหาบกับถังน้ำขึ้น เดินโซเซเข้าไปในโรงยา
แมวดำตัวน้อยกระโดดลงจากชายคามายังหน้าประตูโรงยา ดมกลิ่นซาลาเปา แล้วเชิดคอเดินจากไป ดูเหมือนจะไม่คิดรับน้ำใจของเฉินจี้
แต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าว ก็หันกลับมาคาบซาลาเปาขึ้น
มันยืนอยู่หน้าประตูโรงยา มองแผ่นหลังของเฉินจี้ที่หาบน้ำไปลานหลัง อยากจะตามเข้าไปดูบ้าง แต่สุดท้ายก็หันตัวจากไป
......
......
ตั้งแต่เซ่อเติงเค่อกับหลิวฉวีซิงชกต่อยกันไปถึงลานหลัง ก็ไม่เคยมาห้องโถงใหญ่อีกเลย อาจารย์ไม่อยู่บ้าน ทั้งสองต่างขี้เกียจตัวเป็นขน ไม่อยากออกมาทำงาน
เฉินจี้ก็ดีใจ ได้พบพานความสงบเสียที หิวก็ไปหยิบขนมแป้งธัญพืชในครัว กระหายน้ำก็ตักน้ำมาต้มดื่ม มีผู้ป่วยนำใบสั่งยามาก็ชั่งยาให้ ขอให้ตรวจโรคก็ปฏิเสธอย่างสุภาพ
เวลาทั้งวัน เขาแทบจะใช้ไปกับการศึกษาตำราการแพทย์ แต่ส่วนที่เรียนล้วนเป็นวิชาเกี่ยวกับบาดแผลภายนอก
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร เฉินจี้หมอบบนเคาน์เตอร์หลับไปโดยไม่รู้ตัว พอตื่นขึ้นมา กลับเห็นแมวดำของตำหนักหวั่นซิง กำลังนั่งหมอบเงียบงันบนเคาน์เตอร์จ้องมองเขาอยู่
ขนบนตัวแมวดำยุ่งเหยิง ที่คอยังมีบาดแผลใหม่ เลือดซึมออกมา
เฉินจี้อมยิ้ม ยกมือทักทายแมวดำ “เดินมาไม่มีเสียงเลยนี่ โดนตีอีกแล้วหรือ?”
แมวดำเชิดคอขึ้นเล็กน้อยอย่างดื้อดึง
ท่าทางนั้น คล้ายกับชายหลายคนหลังชกต่อยกันเสร็จแล้วตั้งคอตรง: มันก็ไม่ได้เหนือกว่าสักเท่าไรหรอก!
ความจริงแล้ว นี่ล้วนเป็นคำพูดของผู้แพ้......
“เจ้ารอเดี๋ยว” เฉินจี้ไปหยิบ ‘ไม้ขีดไฟ’ ในครัวมาจุดตะเกียงน้ำมันบนเคาน์เตอร์ห้องโถงใหญ่
เปลวไฟดวงเล็กลุกโชน ยังไม่พอจะส่องสว่างทั้งห้อง แค่เพียงพอสำหรับหนึ่งคนหนึ่งแมวในบริเวณไม่กว้างนี้
เฉินจี้เป่าไฟบนแผ่นไม้บางดับ แล้วพึมพำว่า “เจ้าไปตีกับแมวของหยุนเฟยทุกวัน จิ้งเฟยก็ไม่ช่วยรักษาบาดแผลให้เจ้าบ้างหรือ? ทำไมเจ้าไม่หลบมันไปก่อนล่ะ ไม่งั้นเจ้าจะถูกตีตายเอานะ”
แมวดำเชิดหัวขึ้น ท่าทางเหมือนไม่ค่อยยอม
“ไม่เห็นต้องดึงดันเลย” เฉินจี้ทำท่าประกอบ “เจ้าตัวแค่นี้เอง น่าจะยังไม่ถึงหนึ่งขวบด้วยซ้ำใช่ไหม มันตัวโตขนาดนั้นแล้ว เจ้าสู้ไม่ได้ก็เรื่องปกติ วีรบุรุษแก้แค้นสิบปีก็ยังไม่สาย รอให้เจ้ามั่นใจก่อน แล้วค่อยไปหามันก็ได้”
พูดถึงตรงนี้ เฉินจี้เริ่มจริงจัง “แต่จำไว้นะ ครั้งนั้นต้องฟาดให้ตาย เอาให้จบ อย่าให้มันมีโอกาสพลิกสถานการณ์”
แมวดำฟังแล้ว ในดวงตาปรากฏแววครุ่นคิด
เฉินจี้เริ่มประหลาดใจเล็กๆ “เจ้าฟังที่ข้าพูดเข้าใจด้วยหรือไง……”
แมวดำไม่มีปฏิกิริยา
เฉินจี้ยิ้มพลางกล่าว “ข้าทายาให้เจ้าหน่อยแล้วกัน”
แมวดำเห็นเฉินจี้พลิกตำรายาอย่างรวดเร็ว เห็นเด็กหนุ่มพึมพำในปาก “ให้ข้าดูหน่อยว่า ยาอะไรใช้พอกแผลภายนอกได้ วันนี้เพิ่งเรียนมาพอดี......ใช่แล้ว ว่านงู ของนี่มีเยอะ ถ้าข้าแบ่งมาแค่หนึ่งกรัม หมอเฒ่าเหยาคงไม่รู้หรอก”
ร่างกายแมวดำซึ่งแต่เดิมตึงเครียด เริ่มผ่อนคลายลงบ้าง
เฉินจี้หยิบว่านงูแห้งมาบางส่วน บดให้ละเอียดเป็นผงอย่างระมัดระวัง
เขามองไปยังแมวดำ “ข้าจะใส่ยาห้ามเลือดให้เจ้า อย่าข่วนข้านะ”
แล้วเขาก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่า ตอนที่ตนโรยผงยาลงบนบาดแผลของแมวดำ อีกฝ่ายกลับไม่หลบไม่หลีก ราวกับรู้ว่านี่คือการช่วยเหลือ
แมวดำเหมือนรูปปั้นเล็กๆ สายตาของมันกลอกตามร่างของเฉินจี้ไปมา ท้ายที่สุด ร่างกายที่พร้อมจะพองขนทุกเมื่อ ก็เริ่มผ่อนคลายลง
แมวดำน้อยมีขนหนาแน่น ต้องแหวกออกตรวจดูอย่างละเอียด ใช้เวลาอยู่นาน
ครั้นเฉินจี้ดูแลบาดแผลทุกแห่งของแมวดำเสร็จ ก็ยิ้มออกมาทันที “เรียบร้อยแล้ว!”
ตอนพูด เขาเพิ่งพบว่าแมวดำหลับไปแล้ว ร่างเล็กของมันเอาหัวพิงฝ่ามือเขาไว้
เฉินจี้นิ่งเงียบนาน แต่มือไม่เคยขยับเลย
หนึ่งคนหนึ่งแมวอยู่ในวงแสงเล็กๆ นี้ เงียบสงบและอ่อนโยน
เฉินจี้ก้มลงมองแมวดำน้อย หลังเงียบไปนาน ก็เหม่อลอยพูดว่า “คงได้แต่คุยกับเจ้าคนเดียวแล้วละนะ”
เขาพิงข้างเคาน์เตอร์ สายตามองไปยังเปลวไฟสั่นไหว “ตอนอยู่โรงพยาบาลชิงซาน ข้าคิดว่าตัวเองคงไม่ตาย เตรียมการไว้รอบคอบขนาดนั้น ถึงขั้นเตรียมใบวินิจฉัยโรคจิตไว้ล่วงหน้า เพื่อใช้หลบเลี่ยงโทษหลังฆ่าคน แต่สุดท้ายก็ยังถูกเขาฆ่าตายเสียเอง แต่ตายก็ช่าง ได้แก้แค้นก็พอแล้ว”
“หลี่ชิงเหนี่ยวบอกข้าว่า คนเป่ยจวี่ลู่โจวรับผิดชอบลักลอบพาข้ามา ข้าไม่รู้ว่าเขาหมายความว่าอย่างไร เป่ยจวีลู่โจวอยู่ที่ไหน สวรรค์สี่สิบเก้าชั้นคืออะไร ข้าถึงได้เกิดใหม่เป็นเด็กฝึกกะทันหันแบบนี้ ใช้ชีวิตอยู่ในโลกนี้ตามลำพัง......”
“ตอนที่ข้ารู้จากอาจารย์ว่า ตัวเองยังมีครอบครัว ใจจริงก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมากหรอก......เอาเถอะ ก็ยังมีความหวังอยู่บ้าง แต่ยามเย็นวันนั้น เมื่อแสงอาทิตย์อัสดงค่อยๆ จางหายไปจากตัวข้า ทางนี้รู้สึกเหมือนว่าถูกโลกทอดทิ้งแล้ว”
“ฟังดูขี้อ่อนไหวไปหน่อยใช่ไหม......”
เฉินจี้พร่ำเพ้อถึงเรื่องยุ่งเหยิง หลังมาถึงโลกนี้ เขาไม่มีใครให้ไว้ใจ และไม่มีใครที่ควรค่าแก่การไว้วางใจ ความลับและความสับสนเหล่านั้น เขาได้แต่เก็บงำไว้ในท้อง สุดท้ายก็มาเล่าให้แมวน้อยที่หลับอยู่ฟัง
ดูเหมือนเขาเองก็รู้สึกว่า แบบนี้ค่อนข้างน่าขัน จึงก้มศีรษะลง กล่าวกับแมวดำแผ่วเบา “ขอบใจเจ้านะ ที่ฟังข้าพูดพร่ำมากมาย อารมณ์ดีขึ้นเยอะเลย!”
ทันใดนั้นเอง แมวดำน้อยกลับลืมตาขึ้น บรรจงวางอุ้งเท้าลงบนข้อมือของเฉินจี้ ราวกับปลอบโยนเขา
เฉินจี้มองอุ้งเท้าขนฟูนั้น นิ่งงันไปนาน แล้วถามว่า “ข้าเดาว่า เจ้าเพราะสู้แมวขาวไม่ได้ จิ้งเฟยกับชุนหรงจึงโกรธที่เจ้าไม่เอาไหน เลยไม่รักษาบาดแผลให้ ไม่ให้อาหารเจ้ากิน แมวของพระสนมผู้สูงศักดิ์ถึงได้มาจ้องซาลาเปาตาเป็นมัน ข้าพูดถูกไหม?”
แมวดำน้อยจ้องมองเขาโดยไม่ส่งเสียง
เฉินจี้ถามอย่างจริงจัง “เอาแบบนี้ไหม วันหลังเมื่อข้ามีกำลังพอจะออกจากโรงยาได้ เจ้าก็ไปร่อนเร่ในยุทธภพกับข้า?”
แมวดำน้อยทำหน้างงงวย
“ไม่ได้สิ ต้องมีพิธีรีตองกันหน่อย!” เฉินจี้ดึงกระดาษใบสั่งยาจากในเคาน์เตอร์ ใช้พู่กันเขียนคำอธิษฐานพิธีรับแมวแบบโบราณอย่างเอียงๆ คดๆ “ทาสแมวแห่งเมืองหลัว ทั่วสรรพางค์คลุมด้วยเมฆดำ วันนี้เฉินจี้ขอรับ ‘อูหยุน’ กลับบ้าน เพราะไม่มีปลาแห้ง จึงขอใช้ลูกปัดคริสตัลหนึ่งเม็ดแทนของกำนัล เจ้าที่เตาเป็นพยานจะไม่ทอดทิ้งกัน เจ้าเมืองเป็นพยานถึงพระคุณและมิตรไมตรี”
(*อูหยุน — เมฆดำ)
เมื่อเขียนอักษรตัวสุดท้ายเสร็จ เขาหยิบหมึกชาดมามองแมวดำ “ถ้าเจ้าฟังข้าเข้าใจจริงๆ และยินดีจะตามข้าไป ก็ประทับอุ้งเท้าเองเถอะ”
ในสายตาของเด็กหนุ่ม แมวดำลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายกลับยกอุ้งเท้าจุ่มหมึกชาดจริงๆ แล้วประทับรอยอุ้งเท้าลงบนใบสัญญารับแมว
ชั่วขณะต่อมา ใบสัญญารับแมวลุกไหม้เองโดยไม่มีไฟ กลายเป็นประกายระยิบระยับในอากาศ
เฉินจี้มองภาพอันงดงามตรงหน้า พึมพำกับตัวเอง “โลกนี้ไม่ปกติจริงๆ ด้วย......”
มีเสียงถามว่า “ไม่ปกติตรงไหน?”
เฉินจี้ค่อยๆ หันหัวไปทางแมวดำ......
(จบตอน)
______________
ปัจจุบันแปลถึงตอน: -
ติดตามผู้แปล : www.facebook.com/bjknovel/
#พระเอกเทพ #นิยายแฟนตาซี #qingshan
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น