ตอนที่ 0018 แขกผู้ไม่อาจหวนกลับ



ภายนอกจวนโจวมีทั้งเสียงโห่ร้องอันเดือดพล่านและแสงไฟ  ภายในจวนโจว  ม้าศึกสิบกว่าตัวของบรรดาหน่วยสืบลับซึ่งถูกผูกไว้กับต้นไม้ในลาน  ถูกบรรยากาศอันร้อนระอุนี้รบกวนจนกระสับกระส่าย  กระทืบกีบกุบกับอย่างไม่สงบนิ่ง


มีคนออกแรงผลักดันประตูใหญ่จวนโจว  จนประตูที่ขัดกลอนไว้  ส่ายโยกส่งเสียงครืนครั่นดังสนั่น


หยุนหยางมองเฉินจี้  “พวกตระกูลหลิวอาจใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งเค่อก็พังประตูเข้ามาได้  ถึงตอนนั้น  ไม่มีใครสามารถรับประกันอนาคตได้อีกต่อไป  เจ้าหาหลักฐานภายในหนึ่งเค่อได้หรือไม่?”


หนึ่งเค่ออีกแล้ว


เฉินจี้ถามตัวเองในใจ  เราจะถอดรหัสความลับของหนังสือเล่มนี้ภายในหนึ่งเค่อได้จริงหรือ?  เป็นไปไม่ได้


ใบหน้าของเขาซ่อนอยู่ใต้ผ้าสีเทาที่ปิดหน้า  ก้มศีรษะครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วตอบว่า  “หนึ่งเค่อไม่พอ  ข้าต้องการอย่างน้อย......”


ภายนอกจวนโจว  มีคนตะโกนด้วยความโกรธแค้น  ขัดจังหวะความคิดของเขา  “คนข้างในฟังไว้  รีบออกมาอธิบายให้พวกข้ากระจ่าง  หากมีหลักฐานก็จงงัดออกมา  ไม่มีหลักฐานก็ให้ฆาตกรชดใช้ด้วยชีวิต!”


เขาเห็นหยุนหยางเหน็บชายเสื้อคลุมเข้าในเข็มขัด  ชักดาบยาวจากเอวหน่วยสืบลับที่อยู่ข้างกายออกมาอย่างคล่องแคล่ว  เดินมุ่งหน้าไปยังประตู  “ชีเถียว  อู๋ปิ่ง  เฝ้าประตูให้ดี  เจียวถู่เจ้าไปเฝ้ากำแพงด้านหลัง  ใครกล้าบุกเข้ามาถือเป็นกบฏ  ฆ่าได้ไม่ต้องเว้น!  เฉินจี้  ให้เวลาเจ้าหนึ่งเค่อ  หาหลักฐานให้ได้  ไม่เช่นนั้นพวกเราตายด้วยกันที่นี่!”


เฉินจี้ไม่ลังเลอีกต่อไป  หันกายปิดประตูเข้าไปในห้อง  กั้นเสียงอึกทึกจากภายนอกไม่ให้เข้าไป


เขาเปิดหนังสืออรรถาธิบายสี่คัมภีร์ที่โจวเฉิงอี้คัดลอก  อาศัยวิธี ‘ส่งสารลับโบราณ’ ทุกชนิดในความทรงจำมาเร่งมือตรวจสอบ  ดูว่าอีกฝ่ายใช้วิธีใดในการส่งข่าวสาร


เป็นวิธีซ่อนอักษรหรือไม่?  ไม่ใช่


เป็นวิธีตรวจอักษรหรือไม่?  ไม่ใช่......


หรือว่าเป็นวิธีแยกอักษร?


ที่เรียกว่า  ‘วิธีแยกอักษร’  ตัวอย่างเช่น  หญ้าพันลี้เป็นอักษร  ‘ต่ง’  สิบวันบอกทายเป็นอักษร  ‘จั่ว’  ใช้วิธีนี้ซ่อนเร้นข่าวสาร


หากเป็นวิธีแยกอักษรก็ยุ่งยากแล้ว  ตรงส่วนถอดรหัสไม่ยาก  แต่ปริมาณงานมหาศาล  หากไม่มีเวลาหลายวัน  ย่อมไม่มีทางถอดรหัสได้ครบถ้วนสมบูรณ์!


นาทีแล้วนาทีเล่าผ่านไป  ประตูใหญ่จวนโจวอาจถูกฝูงชนที่โกรธแค้นผลักล้มได้ทุกเมื่อ  ในวันฤดูใบไม้ร่วงอันเย็นสบายนี้  หน้าผากของเฉินจี้ทยอยผุดเม็ดเหงื่อละเอียด


ไม่ใช่วิธีแยกอักษร  เฉินจี้ค้นหาอยู่นาน  ไม่พบเบาะแสที่สอดคล้องกับวิธีแยกอักษรแม้แต่หนึ่งจุด!


จะทำอย่างไรดี?


เฉินจี้ปิดหนังสือหลับตาครุ่นคิด......


เดี๋ยวก่อน!


คำตอบของการแก้ปัญหา  มักไม่ได้อยู่ที่ตัวปัญหาเอง!


เฉินจี้มีแสงสว่างวาบขึ้นในสมอง  หันกลับไปค้นหาตามชั้นหนังสืออีกครั้ง  หนึ่งเล่ม  สองเล่ม  สามเล่ม......ยิ่งพลิกดูหนังสือมากเท่าใด  แววตาของเขายิ่งสว่างขึ้นเท่านั้น


ขณะนี้  เสียงอึกทึกด้านนอกเริ่มสงบลงแล้ว  ความเงียบหลังความอึกทึก  มีความรู้สึกประหลาดแฝงอยู่


มีคนตะโกนเสียงดังผ่านประตูใหญ่ว่า  “หลิวหมิงเสี่ยนแห่งตระกูลหลิว  ขอพบท่านหยุนหยาง  ขอเชิญเปิดประตู”


บรรดาหน่วยสืบลับหันมองหยุนหยางอย่างเงียบงัน


เจียวถู่กล่าวเสียงต่ำ  “หลิวหมิงเสี่ยน  บุตรชายของท่านอัครเสนาบดีหลิว  หลานชายของท่านผู้เฒ่าหลิว  ปัจจุบันเป็นเจ้าบ้านสายที่สองของตระกูลหลิว  ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจการเมืองหลัว  ขั้น 5 ชั้นรอง”


หยุนหยางชั่งใจครู่หนึ่ง  โยนดาบยาวในมือให้หน่วยสืบลับคนหนึ่ง  “เปิดประตูเถอะ  อย่าให้เสียศักดิ์ศรีกรมสืบลับของพวกเรา!”


อี๊ดอ๊าด  ประตูทาสีแดงบรรจงถูกดึงเปิดเข้าด้านใน  ข้างนอกมีคนหลายร้อยถือคบไฟ  ยืนรออยู่เงียบๆ


หลิวหมิงเสี่ยนขี่ม้ายืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน  โดดเด่นราวกับนกกระเรียนท่ามกลางฝูงไก่


เขาสวมผ้าป่านสีขาว  ศีรษะสวมหมวกไว้ทุกข์  ขอบตาแดงก่ำ  แม้แต่อกม้าสีน้ำตาลที่นั่งอยู่  ก็ยังประดับดอกไม้ผ้าไหมสีขาว


หยุนหยางเดินไปข้างหน้า  สุดท้ายหยุดยืนภายในธรณีประตู  “ท่านหลิว  ดึกดื่นค่ำคืนระดมพลหลายร้อยมาล้อมกรมสืบลับ  หรือว่าคิดจะก่อกบฏ?”


“ไม่กล้า”  หลิวหมิงเสี่ยนเสียงแหบแห้ง  กำบังเหียนแน่น  “พวกข้าเพียงมาถามท่านหยุนหยาง  เหตุใดจึงจับคนตระกูลหลิวของข้าโดยไร้เหตุผล?  มีหลักฐานหรือไม่?”


“แน่นอนว่ามี!”  หยุนหยางกล่าวอย่างมั่นใจ


“ถ้าเช่นนั้นก็ช่วยแสดงให้ประจักษ์  หากลูกหลานตระกูลหลิวของข้ามีความผิดจริง  จะลงโทษอย่างไรก็ตามแต่!”


หยุนหยางส่ายหน้า  “ตอนนี้ยังให้ท่านดูไม่ได้  เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความลับ  ต้องทูลเสนอต่ออัครเสนาบดีฝ่ายใน”


หลิวหมิงเสี่ยนเร่งม้าไปข้างหน้า  เผชิญหน้ากับหยุนหยางที่อยู่ภายในประตูห่างกัน  กล่าวด้วยความโกรธ  ‘ถ้าอย่างนั้นก็คือไม่มีหลักฐาน!  หากปล่อยให้ท่านไล่ข้าไปอย่างนี้  เกียรติยศของตระกูลหลิวที่เป็นขุนนางมาหลายชั่วอายุคนจะอยู่ที่ไหน?  ท่านผู้เฒ่าจะหลับตาได้อย่างไร?  ข้าจะไปทูลไทเฮาว่าอย่างไร?”


“ท่านหลิว  ขอเตือนสติท่าน  อย่าแบกความผิดกบฏใส่ตัวจะดีกว่า”  หยุนหยางไม่อยากสนใจอีกต่อไป  ถอยกลับเข้าไปในเงามืดของจวนโจวอย่างไม่รีบร้อน  “ปิดประตู  หากมีใครกล้าบุกเข้าจวนโจวแม้เพียงก้าวเดียว  ให้ถือเป็นกบฏทันที!”


ประตูใหญ่ปิดลงอีกครั้ง  ใบหน้าของหลิวหมิงเสี่ยนถูกแสงไฟที่ส่ายไหวส่องให้ดูดุดันขึ้นมา  “พวกขันทีเป็นภัยต่อแผ่นดิน  เป็นเพียงหมาล่าเนื้อของอำมาตย์อสรพิษ...... ไปเรียกเหลียงโก่วเอ๋อร์มา  เตรียมพังประตูทุกเมื่อ”


ชายหนุ่มลังเลเล็กน้อย  “อาสอง  เมื่อคืนเหลียงโก่วเอ๋อร์ไปดื่มเหล้าที่ตรอกชุดแดง  ตอนนี้อาจนอนอยู่ในห้องแม่นางคนไหนไปแล้ว...... พวกเราจำเป็นต้องใช้เขาหรือ?”


หลิวหมิงเสี่ยนหัวเราะเย็น  “เลี้ยงทหารพันวันใช้ในยามเดียว  ให้เขาหิ้วดาบเก่าๆ เล่มนั้นรีบมาเดี๋ยวนี้  ถ้าข้าไม่เห็นเขา  ก็จะตัดค่าเหล้าของเขา  แล้วตัดยาที่ใช้ฝึกวิชาอีก  ไพร่พลทั้งหลาย  ไปเอาฟืนมากองไว้โคนกำแพงจวนโจว  เดี๋ยวเราจะจุดไฟบีบให้พวกเขาออกมา!”


......


......


หยุนหยางที่เดินกลับมา  ไม่ได้สงบนิ่งเหมือนเมื่อครู่  “เจียวถู่  อีกฝ่ายมีจิตฆ่าฟันแล้ว!”


เจียวถู่กะพริบตา  “หลิวหมิงเสี่ยนคิดจะกบฏหรือ?”


หยุนหยางถอนใจยาว  “คืนนี้เขาไม่ได้นำกองทัพเมืองหลัวมาด้วย  ชัดเจนว่ายังถือเป็นเรื่องในวงศ์ตระกูล  หากเขาตั้งใจแน่วแน่จะแก้แค้นให้ปู่ตน  ภายหลังเขาอาจถูกเนรเทศ  แต่เจ้ากับข้าก็คงตายเปล่า  เรื่องแบบนี้จะใหญ่หรือเล็กก็ได้  จะตัดสินอย่างไร  ก็แล้วแต่คำพูดเดียวของเหล่าขุนนางในราชสำนัก  ข้าราชการขโมยแผ่นดิน!  มิน่าเล่าตอนออกจากเมืองหลวง  จินจูถึงบอกว่าความดีความชอบครั้งนี้ร้อนมือไปบ้าง  เขาช่างหลักแหลมจริง......”


เจียวถู่กะพริบตาอีกครั้ง  “แล้วพวกเราจะทำอย่างไร?  ถือโอกาสที่พวกเขายังไม่ทันล้อมกำแพงหลัง  ชิงหลบหนีไปก่อนเถอะ” 


หยุนหยางลังเล  “หากหนีไปเช่นนี้  เกียรติภูมิของกรมสืบลับข้าจะอยู่ที่ไหน?”


เจียวถู่กลอกตาขาว  “งั้นข้าหนีคนเดียวแล้วนะ”


หยุนหยาง  “หนีพร้อมกัน!”


“แต่ยังมีอีกหนึ่งปัญหา”  เจียวถู่ยิ้มหวานมองไปยังเฉินจี้  “จะทำอย่างไรกับเขาดี  พวกหน่วยสืบลับตีฝ่าออกไปคงไม่มีปัญหา  แต่หากในกองทัพตระกูลหลิวมียอดฝีมือซ่อนอยู่  พาเขาไปจะเป็นตัวถ่วง”


พูดจบ  ทั้งสองสบตากัน  แล้วหันมามองเฉินจี้พร้อมกัน


หยุนหยางทำหน้านิ่ง  หยิบอรรถาธิบายสี่คัมภีร์สองเล่มบนโต๊ะ  “ทิ้งเขาไว้ที่นี่  หนังสือได้มาแล้ว  กรมสืบลับย่อมมีคนถอดรหัสได้”


เจียวถู่กล่าว  “ต้องฆ่าเจ้าหนุ่มนี่ทิ้ง  ไม่งั้นตกอยู่ในมือคนตระกูลหลิว  อีกฝ่ายจะรู้ว่าพวกเราไม่มีหลักฐาน  เขาจะกลายเป็นพยานบุคคล”


คนทั้งสองที่ดุจอสรพิษ  เปลี่ยนใจเร็วยิ่งกว่าพลิกหนังสือ  ตัดสินใจทิ้งเฉินจี้ไว้แล้ว  เจียวถู่ส่งสัญญาณมือให้พวกหน่วยสืบลับ  เห็นหน่วยสืบลับสิบกว่าคนเก็บดาบอย่างไร้เสียง  ถอยไปยังกำแพงหลังอย่างรวดเร็ว  แม้แต่ม้าศึกพวกเขายังทิ้งไว้


หยุนหยางกับเจียวถู่เชื่อว่า  เฉินจี้จะร้องไห้ฟูมฟายขอให้พาเขาไปด้วย  แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น


เฉินจี้ยืนอยู่หน้าชั้นหนังสือ  หยิบหนังสือเล่มแล้วเล่มเล่าจากชั้นมาพลิกเปิดเร็วๆ  ราวกับไม่ได้ยินบทสนทนาของหยุนหยางกับเจียวถู่เลย


เขาไม่ได้อ่านหนังสือแต่ละเล่มอย่างละเอียด  ส่วนใหญ่พลิกดูพอประมาณแล้วโยนทิ้งพื้น  เหมือนกำลังค้นหาบางสิ่งอย่างมีเป้าหมายชัดเจน


ตรงเท้าเฉินจี้มีหนังสือทิ้งกองสุม  เกือบท่วมถึงเข่าของเขาแล้ว


ในที่สุด  เขาโยนหนังสือทุกเล่มลงบนพื้น  จมอยู่กับความคิด


ขณะที่เจียวถู่จะลงมือปิดปาก  ก็ได้ยินเฉินจี้เอ่ยถามขึ้นทันใด  “ท่านทั้งสอง  ไม่อยากหาหลักฐานว่าลูกหลานตระกูลหลิวสมคบข้าศึกแล้วหรือ?”


......


......


เฉินจี้ปิดหนังสือในมือ  ก้าวออกมาจากกองหนังสือ


หยุนหยางกับเจียวถู่มองหน้ากัน  เจียวถู่ถามด้วยความสงสัย  “ข้ารู้สึกว่าเขาแตกต่างจากคืนนั้น”


“ใช่  ไม่เหมือนเดิมแล้ว”


“อ๊ะ!”  เจียวถู่เอียงศีรษะมองเฉินจี้  “เจ้าไขความลับในหนังสือเล่มนั้นได้แล้วหรือ?”


เฉินจี้กล่าวอย่างมั่นใจ  “ข้ารู้แล้วว่า  หลักฐานว่าลูกหลานตระกูลหลิวสมคบข้าศึกอยู่ที่ไหน”


หยุนหยางสงสัย  “เจ้าคงไม่ได้โกหกเพื่อให้พวกเราพาหนีหรอกกระมัง?”


เฉินจี้กล่าว  “ข้าเป็นเพียงเด็กฝึกตัวจ้อยของโรงยา  ถึงหลอกให้พวกท่านพาออกไปได้  สุดท้ายก็คงถูกฆ่าทิ้งอยู่ดี”


หยุนหยางมองเขาด้วยรอยยิ้ม  “งั้นเจ้าลองบอกมาสิว่า  หลักฐานอยู่ที่ใด”


เฉินจี้ผูกผ้าสีเทาบนใบหน้าให้แน่นขึ้นอีกหน่อย  วิเคราะห์อย่างสงบ  “คืนนี้เป็นศึกระหว่างกลุ่มเครือญาติของไทเฮากับราชสำนักฝ่ายใน  เสนาบดีฝ่ายในรู้ชัดว่าท่านทั้งสองไม่ถนัดรับมือสถานการณ์แบบนี้  แต่กลับไม่ส่งคนที่หลักแหลมมาจัดการ  ก็เพราะต้องการใช้นิสัยของพวกท่านเป็นมีดฟันตระกูลหลิว  หากท่านทั้งสองหาหลักฐานไม่ได้แล้วหนีไป  กลับไปถึงกรมพิธีการฝ่ายในคงหนีไม่พ้นถูกลงโทษเช่นกัน”


“ขู่ข้าหรือ?”  หยุนหยางหรี่ตา


“ท่านหยุนหยาง  แม้ข้าจะบอกท่านตอนนี้ว่าหลักฐานอยู่ที่ใด  แต่หากไม่มีข้า  ท่านก็คงไม่รู้ว่าจะหาอย่างไร”  เฉินจี้ตอบ


อีกฝั่งหนึ่ง  เจียวถู่ตัดสินใจแล้ว  นางเรียกหน่วยสืบลับคนหนึ่ง  “ชีว่าน  เจ้าพาเขาไปด้วย  รักษาชีวิตน้อยๆ ของเขาไว้!”


ทุกคนถอยไปยังกำแพงหลังจวนโจว  เจียวถู่กระโดดข้ามหัวกำแพงไป  คอยระวังข้างนอกก่อนอย่างว่องไว  รอจนนางบอกว่า  “ไม่มีคน  เร็ว!”


หยุนหยางจึงยืนตรงโคนกำแพง  ประสานสองมือเป็นบันได  ส่งหน่วยสืบลับคนแล้วคนเล่าขึ้นไปบนกระเบื้องสีเทาของกำแพงล้อม


ถึงคราวเฉินจี้ปีนกำแพง  เขาเหยียบเท้าซ้ายลงบนมือหยุนหยาง  พลันหยุดแล้วกล่าวอย่างจริงจัง  “ท่านหยุนหยาง  ความดีความชอบครั้งนี้  ใหญ่หลวงเกินกว่าที่ท่านจะจินตนาการได้”


หยุนหยางหัวเราะเย็น  “คิดจะจงใจเหยียบข้านานหน่อยสินะ  นึกว่าข้ามองไม่ออกหรือไง  รีบปีนไปเลย!”


พูดจบ  เขาออกแรงสองมือ  ผลักเฉินจี้ขึ้นหัวกำแพง


ทว่าพวกเขาเพิ่งข้ามไปได้ครบทุกคน  กลับเห็นคนตระกูลหลิวกลุ่มหนึ่งอุ้มฟืนแห้ง  เตรียมจะมาจวนโจวเพื่อจุดไฟเผา  คนตระกูลหลิวพอเห็นร่างของกรมสืบลับก็ตะโกนด้วยความโกรธ  “มาทางนี้เร็ว  พวกมันจะหนีทางกำแพงหลัง!”


กรมสืบลับไม่ติดพันการต่อสู้  รีบพุ่งเข้าไปในตรอกลึกของเมืองหลัว  หยุนหยางกดเสียงต่ำถาม  “ตอนนี้จะไปหาหลักฐานที่ไหน?”


เฉินจี้ถาม  “จู่เหรินหนุ่มที่ตายในคุกใต้ดินชื่ออะไร”


“หลิวเสินหยู!”


“ไปบ้านเขาก่อน!”


เฉินจี้ตามหลังพวกหน่วยสืบลับ  วิ่งสุดฝีเท้าบนถนนเมืองหลัว


สายลมเย็นยามราตรีพัดผ่านแผ่นหินสีเขียวครามของเมืองหลัว  จนชายเสื้อและเส้นผมของทุกคนปลิวสะบัด


เบื้องหน้าคือความมืดมิด  เบื้องหลังคือเสียงโห่ฆ่า  ชั่วขณะหนึ่ง  เฉินจี้รู้สึกว่าตนก็กลายเป็นคนเร่ร่อนในยุทธภพที่ไม่อาจหวนกลับแล้วเช่นกัน


(จบตอน)  

______________

ปัจจุบันแปลถึงตอน: -

ติดตามผู้แปล : www.facebook.com/bjknovel/
#พระเอกเทพ #นิยายแฟนตาซี #qingshan


Previous Next

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตอนที่ 0001 กลับสู่ศูนย์

ตอนที่ 0007 บุพการี

ตอนที่ 0010 ตำหนักหวั่นซิง