ตอนที่ 0032 ไร้ช่องว่าง



มาถึงโลกนี้  เฉินจี้ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวเองในอดีตเลย  ได้แต่ปะติดปะต่อตัวตนจากข้อมูลที่คนอื่นเผยออกมาทีละเล็กทีละน้อย


บัดนี้  อดีตของเขากำลังสมบูรณ์ขึ้นเรื่อยๆ...และน่าขนลุกขึ้นเรื่อยๆ  เช่นกัน


สายลับราชวงศ์จิ่งหรือ?  เขาเป็นสายลับราชวงศ์จิ่งจริงหรือ?!


สำหรับเฉินจี้แล้ว  นี่คือผลลัพธ์เลวร้ายที่สุด  ราวกับเดินบนปลายมีดริมหน้าผา  ข้างกายคือเหวลึกหมื่นวา  ไม่ว่าจะตกไปทางซ้ายหรือขวา  ล้วนถึงจุดจบ


จะทำอย่างไรดี?


คนที่ใช้มีดจี้หลังเฉินจี้พูดอย่างสงบ  “อย่าขยับเขยื้อน  ไม่งั้นเชือดทิ้งแน่”


เสียงแห้งแข็งทุ้มต่ำ  แต่มีความมั่นใจอย่างยิ่ง


ฝ่ายตรงข้ามต้องเป็นสิงกวนที่ฝึกตนมานาน  เป็นบุคคลสำคัญของกรมข่าวกรองราชวงศ์จิ่ง!


เฉินจี้ไม่ขยับตัว  กลับได้ยินเถ้าแก่พูด  “ท่านสือเฉา  ข้าตรวจสอบแล้ว  คืนที่ท่านโจวประสบเคราะห์  เจ้าหนุ่มนี่ส่งข่าวให้เขา  บัดนี้ทั้งจวนโจวหายตัวไปหมด  มีแต่เจ้าหนุ่มนี่ที่ยังรอด  มันต้องเป็นคนขายพวกเราแน่”


สือเฉาแห่งกรมข่าวกรอง  แนบใบมีดเย็นเฉียบกับคอเฉินจี้  แล้วถามเสียงเข้ม  “มีอะไรจะแก้ตัวไหม?”


เฉินจี้เร่งสมองคิดอย่างหนัก  สุดท้ายก็ตอบอย่างสงบ  “คืนที่ข้าไปจวนโจวเฉิงอี้  เขาก็ถูกม้าผอมจากตำหนักชุ่ยจู๋ตรอกไป๋อี๋ขายแล้ว  หยุนหยางกับเจียวถู่ถึงได้ตามมาหา...จะว่าข้าทรยศทำให้เขาตายได้อย่างไร?”


เถ้าแก่พูดเสียงเข้ม  “แล้วเจ้ารอดมาได้อย่างไร?  เจียวถู่กับหยุนหยางขึ้นชื่อเรื่องกระหายเลือด  ถ้าเจ้าไม่เปลี่ยนข้างทำความดีความชอบ  จะมีชีวิตถึงตอนนี้ได้อย่างไร?  เจ้าทรยศราชวงศ์จิ่งแล้ว!”


เถ้าแก่เพิ่งโดนเตะไปหมาดๆ  ตอนนี้พูดถึงจุดโกรธ  ถือโอกาสเข้ามาเตะท้องเฉินจี้แรงๆ จนฝ่ายหลังตัวงอ


เฉินจี้คิดจะโต้ตอบ  แต่ไม่ทันระวัง  คนข้างหลังเตะใส่ข้อพับเข่าของเขา


เห็นเฉินจี้เข่าอ่อน  แทบจะคุกเข่าลงกับพื้น


แต่เขาฝืนค้ำยันเอาไว้  เข่ายังไม่ทันแตะพื้น  ก็ลุกขึ้นยืนใหม่


สือเฉาแห่งกรมข่าวกรองเตะอีกหลายที  ไม่มีครั้งใดที่เฉินจี้ถึงกับคุกเข่า  สามารถดิ้นรนลุกขึ้นยืนใหม่ได้เสมอ


สือเฉาเห็นดังนั้น  จึงใช้แรงมหาศาลกดไหล่เขา  แต่คราวนี้เฉินจี้ยอมเสี่ยงให้ไหล่หัก  เข่าก็ไม่ยอมงอแม้แต่น้อย


เขายืนตัวตรง  จ้องเถ้าแก่ตาไม่กะพริบ  พูดเสียงดุดัน  “ไม่ว่าท่านจะทรมานข้ากี่ครั้ง  ผลก็เหมือนเดิม  ข้าขอถามคำเดียว  หากข้าทรยศแล้ว  เหตุใดท่านยังมีชีวิตคุยกับข้าอยู่?!”


เถ้าแก่ชะงักสีหน้าไป


นี่แหละคือเหตุผลที่พวกเขาไม่ฆ่าเฉินจี้ทิ้งทันที  แม้ว่าทุกร่องรอยจะบ่งชี้ว่าเฉินจี้ทรยศแล้ว  แต่นอกจากโจวเฉิงอี้กับหลิวเสินหยู  ทุกคนยังคงปลอดภัยดี


ด้วยสถานะของเฉินจี้  หากเขาทรยศ  จะเป็นหายนะใหญ่หลวงสำหรับระบบกรมข่าวกรองทั้งเมืองหลัว  กรมข่าวกรองต้องยืนยันให้แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น


ห้องเก็บของเต็มไปด้วยสมุนไพร  ดูแออัดไปหน่อย  ทั้งสามคนในห้องต่างได้ยินแม้กระทั่งเสียงหายใจของกันและกัน


เฉินจี้บรรจงผ่อนลมหายใจยาว  ใช้สองนิ้วหนีบใบมีด  ดันมีดสั้นที่จ่อคอตนให้ห่างออกไปบ้าง  “ไม่ถามอะไรก็จะฆ่าแกงกันเลยหรือ?  ให้ข้าพูดจบก่อนเถิด  หลังข้าไปถึงจวนโจว  คุยกับโจวเฉิงอี้ได้ไม่กี่ประโยค  หยุนหยางกับเจียวถู่ก็มาถึง  โจวเฉิงอี้รู้ตัวว่าไม่มีทางรอดแน่  จึงให้ข้ารักษาตัวเอาไว้  ต่อมาเขากินยาพิษตาย  ข้าจึงมีชีวิตรอดด้วยฐานะเด็กฝึกโรงยา  กรมสืบลับยังไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของข้า”


พูดจบ  เขากลับไม่มองเถ้าแก่หอไป๋ลู่อีก  หันตัวเผชิญหน้ากับสือเฉาแห่งกรมข่าวกรองที่อยู่ข้างหลัง  บุคคลอันดับสามของกรมข่าวกรองราชวงศ์จิ่งที่แฝงตัวในราชวงศ์หนิง!


เห็นสือเฉาผู้นี้สวมชุดสีเทา  แต่งกายเรียบง่าย  ข้อศอกและหัวเข่ามีรอยปะอย่างละสองแผ่น


ที่ประหลาดคือ  สือเฉาสวมหน้ากากไม้บางๆ บนใบหน้า  หน้ากากแกะสลักเป็นหน้าเขียวเขี้ยวยาว  ดูน่าสะพรึงกลัว


ยังไม่ทันที่เขาจะอ้าปากพูด  สือเฉาก็ยกมือขึ้น  ฟาดลงคอเฉินจี้อย่างแม่นยำ  ทำให้เขาสลบไป


......


......


เมื่อเฉินจี้ค่อยๆ ได้สติ  ก็พบว่าตัวเองถูกแขวนหัวคว่ำอยู่ที่ใดสักแห่ง  ศีรษะยังถูกคลุมด้วยผ้าดำ  มองไม่เห็นสิ่งใดเลย  ข้อมือเจ็บราวกับถูกกรีดเป็นแผล


เขาได้ยินเสียงหยดติ๋งๆ เหนียวหนืด  เสมือนเลือดของตนกำลังหยดลงทีละหยดสองหยด


เสียงหยดติ๋งๆ นั่น  เปรียบดังการนับถอยหลังของชีวิต  ชวนให้หวาดกลัวระคนร้อนรน


แต่เฉินจี้กลับสงบลงแล้ว


“ตามความเร็วที่เลือดไหล  เจ้าจะมีชีวิตอยู่ได้อีกแค่สองเค่อ”  เสียงสือเฉาดังมาจากหลังหน้ากาก  ฟังดูอู้อี้พิลึก  “คำถามของข้าคือ  กรมสืบลับมักจะฆ่าผิดดีกว่าปล่อยให้รอด  ต่อให้พวกเขาไม่รู้ว่าเจ้าเป็นสายลับ  ก็ต้องไม่ปล่อยให้เจ้ารอดออกจากจวนแน่  ตอบข้ามา  พวกเขาปล่อยเจ้าด้วยเหตุผลใด?”


เฉินจี้อธิบายในความมืด  “เพราะข้าทำความดีความชอบ  ใช้สารส้มเป็นเบาะแส  ใช้น้ำส้มทากระดาษ  หาจดหมายลับที่ร้านกระดาษสาส่งให้โจวเฉิงอี้ได้”


สือเฉาถามเสียงต่ำ  “หากเจ้าพูดความจริง  ฝีมือที่เจ้าแสดงออกมา  ย่อมไม่สอดคล้องกับฐานะเด็กฝึกโรงยา  หยุนหยางกับเจียวถู่ต้องสงสัยแน่!  หยวนหมิง  ตอนเขามาแน่ใจนะว่าไม่มีคนตาม?”


เถ้าแก่ส่ายหน้า  “ไม่มี”


“ตรวจสอบอีกที  ดูว่าตอนนี้รอบๆ หอไป๋ลู่มีหน้าแปลกๆ โผล่มาไหม”


“เข้าใจแล้ว”


เถ้าแก่หอไป๋ลู่ที่ชื่อหยวนหมิง  ผลักประตูออกไปทันที  ยืนกลางลาน  ใช้นกหวีดทองเหลืองเป่าเลียนเสียงนกนางแอ่นใสกังวาน


ไม่นานนัก  จากทิศตะวันออก  ตะวันตก  เหนือ  ใต้รอบหอไป๋ลู่  ก็มีเสียงนกนางแอ่นส่งกลับมาตามลำดับ


เถ้าแก่กลับเข้ามาในห้อง  สีหน้างุนงง  “ท่านสือเฉา  พี่น้องที่คอยจับตามองโดยรอบรายงานมา  ไม่มีคนตามเขามาจริงๆ”


สือเฉาตกอยู่ในความคิด  “เจ้ามีอะไรดีให้กรมสืบลับเชื่อใจ  ถึงขนาดไม่ส่งคนมาสะกดรอยตามด้วยซ้ำ?”


เฉินจี้ก็ตกอยู่ในความคิดเช่นกัน  ใช่แล้ว  เรามีอะไรดี...


ดูเหมือนว่าเขาจะได้รับความไว้วางใจจากหยุนหยางกับเจียวถู่อย่างกะทันหัน  ไม่เพียงได้เข้าไปในคุกใน  ถึงขั้นอ่านแฟ้มเอกสารได้ตามใจชอบ


แฟ้มเอกสารเหล่านั้น  เป็นของสำคัญยิ่งของกรมสืบลับ  หากหยุนหยางกับเจียวถู่ยังสงสัยว่าตนเป็นสายลับราชวงศ์จิ่ง  ไม่มีทางยอมให้ตนดูเด็ดขาด


เพราะอะไรกัน?


เดี๋ยวนะ  หรือเพราะความฝันประหลาดนั่น?


เฉินจี้นึกถึงความฝันหนึ่ง  ฝ่ายตรงข้ามเคยควบคุมจิตใต้สำนึกของเขา  บีบให้ตอบคำถามสองสามข้อ


และที่เขาผ่านการซักไซ้มาได้อย่างหวุดหวิด  ก็เป็นเพราะ……ตอนนั้นเขาไม่รู้จริงๆ  ว่าตัวเองคือสายลับราชวงศ์จิ่ง!


อันตรายเหลือเกิน  เขารอดพ้นการสอบปากคำมาได้เพราะโชคช่วย!


ติ๋ง ติ๋ง!


เสียงเลือดหยดยังคงดังต่อเนื่อง  ราวกับเร่งรัดชีวิต


เฉินจี้สีหน้าสงบนิ่ง  แต่น้ำเสียงเร่งรีบ  “ก่อนหน้านี้ข้าเคยฝัน  ในฝันมีคนถามซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า  เป็นสายลับราชวงศ์จิ่งหรือไม่  ตอนนั้นจิตใจข้าเกือบจะพังทลาย  แต่สุดท้ายก็รักษาสติตอบว่า  ‘ไม่ใช่’  ได้”


สือเฉาดูจะแปลกใจบ้าง  “เมิ่งจีลงมือเองเชียวหรือ?  เจ้าต้านทานการสอบปากคำของเมิ่งจีได้”


แต่สือเฉาก็ยังไม่เชื่อเต็มที่


เฉินจี้รู้สึกเจ็บตรงแขน  ราวกับถูกมีดกรีดอีกครั้ง


เสียงเลือดหยดหายไป  แทนที่ด้วยเสียงเลือดไหลเป็นสายเล็กๆ  ลงในอ่างไม้  แปะแปะไม่หยุด


สือเฉาพูดอย่างสงบ  “ไม่ว่าเจ้าจะพูดจาหว่านล้อมแค่ไหน  ก็อาจเป็นสิ่งที่กรมสืบลับสอนให้เจ้ากุขึ้นมาหลอกพวกเรา  หากจะให้ข้าเชื่อ  ก็จงพิสูจน์ว่าเจ้ายังจงรักภักดีต่อราชวงศ์จิ่ง  หากพิสูจน์ไม่ได้  ข้าก็ได้แต่เชือดเจ้าทิ้ง  เชื่อว่าลุงของเจ้าคงเข้าใจ”


เฉินจี้ชะงักไป  ลุง?


ตอนนี้เถ้าแก่เอ่ยปาก  “ท่านสือเฉา  อย่าเสียเวลาพูดกับมันเลย  กรมสืบลับปล่อยให้มันมีชีวิตต้องมีแผนร้ายแน่  หากยังปล่อยกลับไปอีก  เกรงว่าสักวันหอไป๋ลู่จะพินาศ  นี่เป็นกิจการสำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของเราทางใต้  คนมากมายต้องพึ่งหอไป๋ลู่เลี้ยงชีพ”


สือเฉาไม่ตอบ  เพียงรอให้เฉินจี้ตอบ


เฉินจี้หลับตา  คิดหาวิธีในใจว่า  จะพิสูจน์ความจงรักภักดีต่อราชวงศ์จิ่งได้อย่างไร?


พอลืมตาขึ้น  เขาพูดอย่างหนักแน่น  “ข้าเห็น ‘บันทึกใคร่ครวญใกล้ตัว’ ที่ใช้วิธีฝ่านเซี่ยซ่อนข้อมูลในบ้านหลิวเสินหยู  แต่ข้าไม่ได้ส่งให้หยุนหยางกับเจียวถู่  ในหนังสือ  หลิวเสินหยูเปิดเผยว่ามีผู้ใหญ่จวนอ๋องกำลังติดต่อกับกรมข่าวกรองราชวงศ์จิ่งของเรา  ยังเปิดเผยด้วยว่า  ทั้งตระกูลหลิวหันมาเข้าข้างราชวงศ์จิ่งแล้ว  หากส่งหนังสือเล่มนี้ออกไป  เกรงว่าตระกูลหลิวคงหนีความวิบัติไม่พ้น!”


สือเฉากลั้นหายใจ  “ตอนนี้บันทึกใคร่ครวญใกล้ตัวอยู่ไหน?”


“เผาทิ้งแล้ว”


สือเฉาหรี่ตาเล็กน้อย  แววตาดุร้าย  ครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่เงียบๆ  “ข้อนี้เจ้าไม่ได้โกหก  กรมสืบลับหาบันทึกใคร่ครวญใกล้ตัวไม่เจอจริงๆ  หลังเกิดเรื่อง  ข้าแอบเข้าไปในจวนหลิวเสินหยูเพื่อหามัน  ก็ไม่พบ  ที่แท้เจ้าซ่อนไว้ก่อนแล้ว  ดีมาก...”


เฉินจี้ใจหายวาบ  กรมข่าวกรองราชวงศ์จิ่งรู้ได้อย่างไรว่า  กรมสืบลับไม่ได้บันทึกใคร่ครวญใกล้ตัวไป?  อย่าบอกนะว่า  คืนนั้นมีสายลับคนอื่นอยู่ในคฤหาสน์ตระกูลหลิวด้วย?!


ขณะสือเฉากำลังครุ่นคิด  เถ้าแก่พูดอย่างร้อนใจ  “ท่านสือเฉา  ต่อให้เจ้าหนุ่มนี่พูดจาหว่านล้อมแค่ไหน  ก็เปลี่ยนความจริงที่มันขายเพื่อนร่วมงานไม่ได้  ท่านรู้หรือไม่  หลังร้านกระดาษสาตระกูลหลิวถูกตรวจค้น  ลามไปกว้างไกลเพียงใด  ไม่เพียงทำให้หลิวเสินหยูตาย  ยังเกือบเกิดเรื่องใหญ่ด้วย!”


เฉินจี้แขวนกลับหัวอยู่บนคาน  ถามอย่างเคร่งขรึม  “ขอถาม  มีใครในราชวงศ์จิ่งของเราได้รับความไว้วางใจจากสิบสองนักษัตรกรมสืบลับบ้าง?  มีใครหลบพ้นการสอบปากคำของเมิ่งจีได้บ้าง?”


แววตาสือเฉาเปลี่ยนไป


เมิ่งจีเป็นอุปสรรคใหญ่ที่สุดประการหนึ่งของกรมข่าวกรองในการแทรกซึมกรมสืบลับ  สายลับมากมายพากันพยายามแทรกซึมกรมสืบลับ  แต่สุดท้ายก็ล้มอยู่ต่อหน้าเมิ่งจี


บัดนี้เฉินจี้หลบพ้นการสอบปากคำของอีกฝ่ายได้  บางทีอาจเป็นโอกาสแล้วจริงๆ


แต่จะแน่ใจได้อย่างไรว่า  เฉินจี้หลบพ้นการซักถามมาได้จริง?


เฉินจี้ไม่ได้ยินสือเฉาตอบนาน  สุดท้ายจึงลงเดิมพันหนัก  “ให้เวลาข้าหนึ่งเดือน  ภายในหนึ่งเดือน  ข้าจะพิสูจน์ว่าตนไม่ได้ทรยศ  พิสูจน์ความจงรักภักดีต่อราชวงศ์จิ่ง”


สือเฉาใคร่ครวญครู่หนึ่ง  หันไปมองเถ้าแก่  “ส่งข่าวออกไป  ข้าต้องพบ  ‘ฉางจิง’  มีเรื่องสำคัญต้องสั่ง”


เถ้าแก่จะพูดอะไรแล้วกลืนกลับ  แต่ก็หันตัวออกจากประตูไป


สือเฉาเงียบอยู่ในห้องนาน  ในที่สุดก็ตัดเชือก  ปล่อยเฉินจี้ลงมา


เขาบรรจบเก็บมีดสั้นเข้าฝักในแขนเสื้อ  “คราวนี้มาราชวงศ์หนิง  ลุงเจ้าเคยฝากให้ข้าดูแลเจ้าบ้าง  ไม่คิดว่าจะเจอเหตุการณ์เช่นนี้  วางใจได้  หากเป็นอย่างที่เจ้าว่าจริง  ข้าไม่เพียงจะไม่ฆ่า  แต่ยังจะปกป้องเจ้าด้วย  แต่หากกล้าหลอกกัน  อย่าโทษที่ข้าไม่เห็นแก่หน้าก็แล้วกัน”


เฉินจี้ดึงผ้าดำที่คลุมศีรษะออก  พบว่าตนยังอยู่ในห้องเก็บสมุนไพร  ส่วนสือเฉาถือไก่ตัวหนึ่งในมือ  เลือดไก่เทลงในอ่างไม้จนหมดแล้ว


เฉินจี้ไม่แปลกใจนัก  แต่ยังแสร้งทำเป็นตกใจลูบแขน  ตำแหน่งที่เคยเจ็บเมื่อครู่กลับไม่มีบาดแผล


สือเฉาอธิบายอย่างสงบ  “ข้ายังหวังให้เจ้าแทรกซึมกรมสืบลับ  ย่อมไม่ทิ้งบาดแผลบนตัวเจ้าให้คนสงสัยพร่ำเพรื่อ  อีกอย่าง  เห็นแก่หน้าลุงเจ้า  ข้ายอมให้โอกาสเจ้าพิสูจน์ตัวเอง”


ลุงของตนไม่ใช่คนราชวงศ์หนิง  แต่เป็นคนราชวงศ์จิ่งหรือ?  งั้นก็เท่ากับว่า  เขามีเชื้อสายราชวงศ์จิ่งอย่างน้อยครึ่งหนึ่ง


เดิมทีเฉินจี้คิดว่า  ราชวงศ์จิ่งคงเป็นชนเผ่าเร่ร่อน  หน้าตาคงแตกต่างจากราชวงศ์หนิงมาก  แต่ดูจากรูปร่างหน้าตาของตน  ราชวงศ์หนิงกับราชวงศ์จิ่งชัดเจนว่ามีรากเหง้าเดียวกัน  แตกต่างจากที่เขาตัดสินโลกนี้โดยสิ้นเชิง


ชั่วขณะหนึ่ง  เขารู้สึกว่าตัวตนของเขานับวันยิ่งคลุมเครือ  ไม่แปลกเลยที่อีกฝ่ายจะพูดก่อนหน้านี้ว่า...


“หักหลังสถานะตนเอง  หักหลังนามสกุลตนเอง”


(จบตอน)  


______________
ปัจจุบันแปลถึงตอน: -
ติดตามผู้แปล : www.facebook.com/bjknovel/
#พระเอกเทพ #นิยายแฟนตาซี #qingshan

Previous Next

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตอนที่ 0001 กลับสู่ศูนย์

ตอนที่ 0007 บุพการี

ตอนที่ 0010 ตำหนักหวั่นซิง