ตอนที่ 0023 พึ่งพาอาศัยกัน
ยามเช้าตรู่ ก่อนไก่ขันแจ้งรุ่ง เฉินจี้ลืมตาตื่น พลันเห็นข้างหมอนของตนมีก้อนเงินเล็กๆ วางอยู่ห้าก้อน
เป็นค่าตอบแทนที่หยุนหยางให้สัญญาไว้ แต่เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายแทรกซึมเข้ามาในโรงยาได้อย่างไร ไม่รู้ด้วยว่าแทรกซึมเข้ามาเมื่อใด ราวกับก้อนเงินห้าก้อนนี้ปรากฏจากความว่างเปล่า
นี่ไม่เพียงเป็นค่าตอบแทนจากหยุนหยาง หากยังเป็นคำเตือนจากอีกฝ่ายด้วย
เฉินจี้ลุกขึ้นเงียบงัน เปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าใหม่ที่ซีปิ่งนำมาส่ง พอคลี่ดู ก็พบว่าเป็นเสื้อคลุมยาวคอตั้งสีกรมท่า ตรงคอมีกระดุมเงินสองเม็ด ดีกว่าเสื้อผ้าที่เขาใส่ก่อนหน้านี้หลายระดับ
เสื้อผ้าชุดนี้ คงต้องใช้เงินหลายตำลึงกระมัง?
น่าเสียดายที่ซีปิ่งส่งมาให้เพียงเสื้อผ้ากับชุดชั้นใน กางเกง แต่ไม่ได้ส่งรองเท้ากับเข็มขัดมาให้ ทำให้เวลาเฉินจี้สวมเสื้อคลุมคอตั้งตัวนี้ เท้ายังคงสวมรองเท้าผ้าขาด เอวก็ยังคาดเชือกป่านเส้นหนา......
เฉินจี้นึกขำขึ้นมา สารรูปของตนช่างดูไม่กลมกลืนเอาเสียเลย
ช่างมันเถอะ เด็กฝึกตัวจ้อยจะมาเรื่องมากอะไร ต่อไปหาเงินได้แล้วค่อยซื้อเพิ่ม
ครั้นไก่ขันแจ้งรุ่ง เฉินจี้ออกจากประตู พอดีร้านขายข้าวขายน้ำมันฝั่งตรงข้ามกำลังถอดแผ่นประตู
“เถ้าแก่เนี้ย สวัสดีขอรับ” เฉินจี้ยิ้มพลางเดินเข้าร้านขายข้าว
“โอ้? หมอเฉินน้อยจะซื้ออะไรหรือ” เถ้าแก่หญิงกำลังยุ่งเตรียมเปิดร้าน พอเห็นเขาเข้ามาแต่เช้า รีบวางงานในมือทันที
“ข้าวฟ่างชั่งละเท่าไร?” เฉินจี้ถาม
“คนอื่นมาถามก็แปดเหรียญเงิน ขายให้หมอเฉินน้อยหกเหรียญเงินพอ” เถ้าแก่หญิงพูดยิ้มๆ
“ข้าวสารชั่งละเท่าไร?”
“เก้าเหรียญ อันนี้ลดให้ไม่ได้ ขออภัยด้วย”
สมัยนี้หมอหายาก ฐานะในวิชาชีพค่อนข้างสูง อาจารย์ของเฉินจี้เป็นหมอหลวงขั้น 7 จากราชสำนัก ดังนั้น เพื่อนบ้านจึงค่อนข้างให้เกียรติเฉินจี้
“งั้นเอาข้าวฟ่างห้าชั่ง ข้าวสารห้าชั่ง......แล้วก็ตักน้ำมันงาหนึ่งหม้อ อ้อ อีกอย่าง เนื้อตากแห้งหนึ่งพวง!” เฉินจี้กล่าว
เถ้าแก่หญิงยิ้มหน้าบาน “ได้เลย รวมหนึ่งร้อยเก้าสิบห้าเหรียญเงิน เก็บท่านหนึ่งร้อยเก้าสิบพอ”
เฉินจี้แลกก้อนเงินหนึ่งตำลึง ให้เป็นเหรียญทองแดงหลายพวง ฝากไว้ที่ร้านขายข้าวขายน้ำมัน ไว้ตอนเย็นค่อยมาเอา ส่วนตนเองก็หิ้วห่อใหญ่น้อยเดินจากไป
ห่อของถูกร้อยด้วยเชือกถักจากฟางข้าว รัดจนมือเขาเจ็บเบาๆ แต่อารมณ์ยังดีอยู่
ซื้อของเพื่อกลับบ้านในวันหยุด เฉินจี้ครุ่นคิด ดูจากสภาพชีวิตของตนเองแล้ว สภาพที่บ้านของเขาคงไม่ค่อยดีนัก
ตามข้อมูลที่อาจารย์เอ่ยถึงก่อนหน้านี้ พ่อของตนน่าจะทำงานที่คันกั้นน้ำกระมัง?
ท่านอยู่ในสภาพเช่นนี้ ยังช่วยตนถวายของไหว้ครูให้อาจารย์ หาอนาคตที่ดีให้ น่าจะใช้กำลังทั้งครอบครัวแล้ว
สิ่งนี้ทำให้เฉินจี้รู้สึกสะเทือนใจ จนอยากรู้เกี่ยวกับครอบครัวของตนในโลกนี้บ้าง
บ้านตระกูลเฉินอยู่ที่ตรอกชุ่ยหยุน เขาถามทางจากเจ้าของร้านริมถนน เดินเลียบมายังทิศเหนือของเมืองหลัว
เมืองหลัวยามเช้าคึกคักขึ้นบ้าง เขาเห็นมีคนต้อนเกวียนวัวผ่านไป บนเกวียนวัวยังวางกระสอบอยู่หลายใบ ไม่รู้ว่าข้างในบรรจุอะไร ราวกับจะไปเที่ยวตลาด
ยังมีขบวนพ่อค้าเข้าด่านประตูเมืองทิศเหนือ บนรถม้ากองหนังฟอกที่ตากแห้งแล้ว ใกล้จะเข้าฤดูหนาว นี่คือสินค้ายอดนิยมอันดับหนึ่งในหมู่ผู้มีอันจะกิน
กล่าวกันว่า สถานที่เริงรมย์โด่งดังที่สุดในตลาดบูรพานามว่าตรอกชุดแดง แม่นางดาวเด่นปกติไม่รับแขก แต่หากพ่อค้าร่ำรวยถวายเครื่องขนมิ้งค์หนึ่งชุด ย่อมได้ชื่นชมโฉมงาม
ริมทางมีเด็กซุกซนวิ่งไล่เล่นกัน ปากร้องเพลงกล่อมเด็ก มือถือกังหันลมใบเล็กที่ทำเอง
เหล่าสตรีริมลำธารเล็กที่ไหลผ่านในเมือง ซักเสื้อผ้าไปพลางหยอกล้อคุยกัน ส่งเสียงหัวเราะดังเป็นระยะ
เฉินจี้มาถึงตรอกชุ่ยหยุน เขาถามเจ้าของแผงหนึ่งว่า “ท่านลุง ขอถามหน่อย บ้านตระกูลเฉินแห่งกวนตงอยู่หลังไหน?”
ลุงมองเขาแวบหนึ่ง “นี่เฉินจี้ไม่ใช่หรือไง บ้านตัวเองอยู่ไหนยังต้องถาม?”
เฉินจี้ “......”
ที่แท้เป็นคนรู้จัก
เขาลังเลอยู่นาน สุดท้ายก็ไม่กล้าถามต่อ เพียงหิ้วของเดินเข้าไปในตรอก
ทันใดนั้น ด้านหน้ามีเสียงอึกทึก “ท่านพ่อบ้าน ท่านพ่อบ้าน โคมไฟนี่แขวนตรงไหนขอรับ?”
เสียงของชายคนหนึ่งตอบอย่างเย็นชาปนหงุดหงิด “ต้องให้ข้าสอนทุกเรื่องเลยหรือไง? แขวนไว้ที่ชายคาเหนือหัวสิงโตหิน ตรงนั้นมีตะขอเกี่ยวอยู่! เร่งมือเข้า คุณชายทั้งสองใกล้จะกลับมาแล้ว ถ้ายังมัวอืดอาดยืดยาดอีก ระวังจะไม่เหลือหนังไว้หุ้มกระดูก!”
เฉินจี้มองบ้านหลังนี้ ซึ่งประดับโคมไฟสีสันสดใส ไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไรน่ายินดี เพียงแต่ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกผิดปกติ จนกระทั่งเห็นป้ายหน้าประตูบ้านเขียนว่า...…
จวนเฉิน
เหตุใดในตรอกชุ่ยหยุน จะมีจวนเฉินถึงสองแห่ง?
บ้านหลังนี้ซุ้มประตูสว่างสดใส ประตูใหญ่ทาสีชาด รวมไปถึงสิงโตหิน แม้จะไม่ได้โอ่อ่านัก แต่ก็มิใช่บ้านคนธรรมดาแน่นอน
“......อย่าบอกนะว่านี่บ้านเรา?” เฉินจี้พึมพำ
“เฉินจี้?” พ่อบ้านที่ไว้หนวดเขี้ยวมองมา พูดอย่างสงสัยว่า “เจ้ากลับมาได้ยังไง?”
เฉินจี้ลังเลอยู่อึดใจหนึ่ง “วันนี้ข้าหยุด”
พ่อบ้านกล่าวว่า “พอดีเลย เจ้าตัวสูงกว่า มาขึ้นบันไดแขวนโคมไฟให้หน่อย”
“อ้อ”
เฉินจี้วางห่อของในมือไว้บนพื้นด้านข้าง แล้วปีนขึ้นบันไดไปแขวนโคมไฟ
ระหว่างนี้ พ่อบ้านก็สั่งการสาวใช้คนอื่นจากด้านข้าง “มาๆๆ เอาน้ำมาอ่างหนึ่ง สาดน้ำหน้าประตู เดี๋ยวคุณชายทั้งสองกลับมาจะฟุ้งฝุ่น มีแต่พวกไม่ได้เรื่อง จะดีจะร้าย พวกเจ้าก็เป็นบ่าวไพร่บ้านรองเจ้าเมืองหลัว ใครผ่านมาเห็นเข้า คงได้หัวเราะเยาะว่าพวกเจ้าไม่รู้กฎ!”
พูดไปพลาง พ่อบ้านก็เห็นห่อของบนพื้น “ใครเอามาวางไว้? รีบขยับหลบเร็ว อย่าให้มาขวางทางเข้าออก”
เฉินจี้ลงจากบันไดอย่างสงบ “ท่านพ่อบ้าน ข้า......”
พ่อบ้านนึกขึ้นได้ “มารับเงินค่าเล่าเรียนสินะ เมื่อก่อนนายท่านสั่งเรื่องนี้ไว้ ดูข้าสิ สมองนี่ยุ่งจนลืม ถึงไม่ได้ส่งไปให้เจ้า”
เขาสั่งให้คนหิ้วพวงเหรียญทองแดงออกมาจากห้องบัญชี น่าจะมีสามร้อยเหรียญ “ใช้ประหยัดๆ หน่อยนะ ทุกวันนี้ข้าวยากหมากแพง บ้านเฉินเราก็ไม่ง่ายเหมือนกัน”
จวบจนตอนนี้ เฉินจี้ก็ยังไม่เข้าใจ ตนมีสถานะใดในจวนเฉินกันแน่
เสียงกีบม้าดังมาแต่ไกล เสียงวิพากษ์วิจารณ์อึกทึกก็ลอยมาจากนอกตรอกชุ่ยหยุน “คุณชายใหญ่กับคุณชายรองของบ้านเฉินกลับมาแล้ว! ไปสำนักตงหลินครั้งนี้ตั้งสามปี กลับมาแทบจำไม่ได้เลย”
“คุณชายใหญ่กับคุณชายรองดูหล่อเหลาขึ้นเป็นกอง”
เฉินจี้มองไป เห็นชายหนุ่มสองคนขี่ม้าขาวเข้ามาในตรอก ทั้งสองสวมเสื้อคลุมผ้าไหมสีเขียวอมน้ำเงิน บนเสื้อคลุมปักลวดลายละเอียดอ่อนงดงาม เพียงแค่ดูฝีมือการปักก็รู้ได้ว่าราคาไม่ธรรมดา
ชายหนุ่มทั้งสองสวมรองเท้าหัวเมฆ เข็มขัดห้อยหยกเขียวคนละชิ้น หน้าอกประดับด้วยเครื่องไข่มุกและหยก ใบหน้าดูอายุไม่เกินสิบแปดสิบเก้า ท่าทางสง่างามยิ่ง
พ่อบ้านเดินเข้าไปหา ยิ้มพลางจับบังเหียน “สำเร็จการศึกษาจากสำนักตงหลินกลับมาแล้ว สอบประเมินปีนี้ คุณชายทั้งสองต้องสร้างชื่อเสียงเลื่องลือแน่!”
คุณชายทั้งสองกระโดดลงจากหลังม้า ส่งแส้ที่ถืออยู่ให้สาวใช้ ยิ้มพลางกล่าว “พ่อบ้านเรา ผ่านไปไม่กี่ปีผมขาวขึ้นเยอะเชียว ดูท่าจะเหน็ดเหนื่อยกับงานในจวนมาก”
“ไม่เป็นไรขอรับ เป็นหน้าที่ของข้า...เดิมทีนายท่านอยู่ที่คันกั้นน้ำ คอยควบคุมการซ่อมแซมชลประทาน เมื่อไม่กี่วันก่อนได้ยินว่าคุณชายจะกลับมา จึงรีบเดินทางกลับมารอคุณชายโดยเฉพาะ รีบเข้าไปคารวะท่านเถิดขอรับ!”
ท่ามกลางเสียงอึกทึกครึกโครม ทุกคนพากันตามคุณชายทั้งสองเข้าไปในจวน ตอนที่พวกเขาเดินผ่านเฉินจี้ไป แม้แต่จะเหลือบมองสักครั้งก็ไม่มี
ไม่ใช่แกล้งทำเป็นไม่เห็น พวกเขาดูเหมือนจะจำไม่ได้จริงๆ ว่าเฉินจี้เป็นใคร หรือไม่ก็ ไม่สำคัญว่าจะจำได้หรือไม่
หน้าประตูจวนเฉินที่เดิมคึกคักเอิกเกริก บัดนี้เงียบเหงาลง เฉินจี้ยืนนิ่งอยู่หน้าประตูไม่พูดไม่จา ราวกับโลกใบนี้ทอดทิ้งเขาแล้ว
เฉินจี้ครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วน อาจารย์น่าจะรู้ฐานะครอบครัวของเขาดี และไม่เคยพูดทำนองว่า บ้านเขาจนจึงจ่ายค่าเล่าเรียนไม่ได้ ไม่เคยบอกว่าพ่อของเขาทำงานอะไรอยู่ที่คันกั้นน้ำ
ทีแรกที่อาจารย์โกรธขนาดนั้น ก็เพราะรู้ว่าบ้านเขามีเงินแท้ๆ แต่กลับยังผัดวันประกันพรุ่งไม่ยอมจ่ายค่าเล่าเรียน
รองเจ้าเมืองหลัว เทียบเท่ากับหลิวหมิงเสี่ยน เป็นขุนนางขั้น 5 ชั้นรอง
เฉินจี้เงยหน้ามองป้าย ‘จวนเฉิน’ เหนือศีรษะ สุดท้ายก็ไม่ได้ก้าวเข้าประตูสีชาดนั้น เด็กหนุ่มเพียงโน้มตัววางเหรียญทองแดงสามร้อยเหรียญไว้หน้าประตู แล้วหิ้วห่อของที่นำมากลับไป
ลุงแก่ตรงปากซอยมองแผ่นหลังของเขา ถอนหายใจ “บุตรเอกที่มีแม่ กับบุตรนอกสมรสที่ไม่มีแม่ ต่างกันราวฟ้ากับดินจริงๆ”
เฉินจี้กลับมาถึงถนนอันซี รับเหรียญทองแดงจากร้านขายข้าวขายน้ำมัน เถ้าแก่เนี้ยรู้สึกแปลกใจ “หมอเฉินน้อย ทำไมถึงหิ้วของกลับมาล่ะ? ร้านเราไม่รับคืนสินค้านะ”
เขายิ้ม “ไม่คืนขอรับ หิ้วกลับไปถวายอาจารย์”
พอเขากลับถึงโรงยา หมอเฒ่าเหยาเหลือบตามอง “ข้าให้เจ้าหยุดพักไม่ใช่หรือ ทำไมกลับมาเร็วนัก?”
เฉินจี้นับเหรียญทองแดง 560 เหรียญออกมา “อาจารย์ นี่เงินที่บ้านข้าให้มา ชำระค่าเล่าเรียนและค่ายาที่ค้างท่านอยู่ ห่อของในมือนี้ก็เป็นของที่บ้านฝากมาให้ท่านด้วย”
หมอเฒ่าเหยาทำปากยื่น “บ้านเจ้าในที่สุดก็รู้จักสำนึก ไม่นึกเลยว่า พ่อเจ้าไปควบคุมการซ่อมคันกั้นน้ำ ยังได้ซ่อมสมองกลับมาด้วย”
เฉินจี้ “......ท่านถูกลดขั้นมาอยู่เมืองหลัว ก็เพราะปากเสียแบบนี้ใช่ไหมขอรับ?”
......
......
ตกดึก เฉินจี้นั่งอยู่ในห้องโถงใหญ่ของโรงยา นั่งเงียบคัดลอกความรู้เกี่ยวกับพยาธิวิทยาโรคไข้หนาว พอหันกลับมาก็เห็นอูหยุนนั่งยองๆ บนเคาน์เตอร์ข้างหลังเขาแล้ว ปากคาบห่อผ้าสีน้ำเงินใบเล็ก
“เจ้าจะหนีออกจากบ้านหรือ?”
“คิดอะไรอยู่?” อูหยุนลังเลอยู่สองสามอึดใจแล้วถาม “ท่านพาข้าไปตรอกชิงผิงหน่อยได้ไหม?”
“ดึกแล้ว ข้ากลัวความมืด”
“เจ้าลองเดาดูสิ ว่าข้าเชื่อหรือเปล่า?”
เฉินจี้ถอนหายใจ “ก็ได้ ข้าจะพาไป แต่เจ้าไปตรอกชิงผิงทำไม?”
“ตอนนี้ข้าไม่อยากบอก!”
ตรอกชิงผิงอยู่ที่ไหน? นี่เป็นปัญหาที่จริงจังมาก
เฉินจี้ครุ่นคิดอยู่ครู่แล้วกล่าว “อ่า...ข้าจะพาเจ้าไปคืนพรุ่งนี้ วันนี้ไม่ค่อยสะดวก”
“ทำไมวันนี้ไม่ได้?!?”
“ข้าไม่รู้ว่าตรอกชิงผิงอยู่ที่ไหน...” เฉินจี้กล่าว “เจ้าไม่ต้องมองกันแบบนั้น ข้าเองก็จนใจจะอธิบาย ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าตรอกชิงผิงอยู่ที่ไหน”
อูหยุนคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ข้ารู้”
นอกประตูมีคนตีกลองยามเดินผ่าน เขาตีกลองไปพลาง ร้องป่าวไปพลาง “อากาศแห้งแล้ง ระวังฟืนไฟ”
ย่างเข้าเช้ามืดแล้ว เวลาตีสาม
เมืองหลัวปราศจากความอึกทึกคึกคักเหมือนตอนกลางวัน
เฉินจี้แอบปิดบานประตูโรงยา ตามอูหยุนเดินเข้าไปในความมืด
เขาผูกห่อผ้าสีน้ำเงินใบเล็กนั้นไว้บนหลังอูหยุน ดูน่ารักดี ยังช่วยให้เขาไม่คลาดสายตาจากอูหยุนในความมืด...อูหยุนดำเกินไปจริงๆ
ตลอดทาง อูหยุนดูเหมือนจะอาศัยความทรงจำในการคลำทิศทาง ดมดมตรงนี้บ้าง ดมดมตรงนั้นบ้าง
หนึ่งคนหนึ่งแมวเดินเดินหยุดหยุด เดินตั้งชั่วยามเต็ม ระหว่างทางยังเดินผิดทิศหลายครั้ง
เฉินจี้ก็ไม่เร่งรัด เขาดูออกนานแล้ว การไปตรอกชิงผิงคืนนี้ ต้องสำคัญกับอูหยุนมากแน่
เขามีความอดทนเพียงพอ
ในที่สุด อูหยุนก็หยุดเท้าตรงตรอกเล็กแห่งหนึ่ง แล้วจ้องประตูที่ปิดสนิทอย่างเหม่อลอย
“ที่นี่ใช่ไหม?” เฉินจี้ถาม
“ที่นี่แหละ”
“ให้ข้าเคาะประตูไหม?”
“ไม่!”
อูหยุนร้องเรียกเข้าไปในประตูสองครั้ง เรียกหาอะไรบางอย่าง
แต่เสียงร้องนอกจากดึงดูดแมวจรจัดสองตัวมาใกล้ ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก
“ข้าจะกระโดดเข้าไปดู ท่านรออยู่ตรงนี้” อูหยุนเพียงถีบบนกำแพงแผ่วเบา ก็ทะยานข้ามเข้าไปในลานบ้าน รวดเร็วจนแลเห็นเป็นเงาซ้อน ว่องไวปราดเปรียวเป็นพิเศษ
เฉินจี้ยืนพิงอยู่ในตรอกเล็ก รอคอยอย่างสบายใจ ไม่นานนักอูหยุนก็กลับมา อารมณ์ท้อแท้ลงอย่างเห็นได้ชัด “ไปกันเถอะ”
“ธุระเสร็จแล้วหรือ?”
“อืม”
“เรื่องอะไร?”
อูหยุนหยุดเดิน หันกลับไปมองประตูบานนั้น “ข้าคิดถึงแม่”
เฉินจี้นิ่งเงียบ แมวก็คิดถึงแม่ได้เหมือนกัน
อูหยุนพูดอย่างใจลอย “นางอาจจะไม่คิดถึงข้า แต่ข้าแค่อยากมาดู...อีกอย่าง ภายภาคหน้าข้าต้องตะลุยยุทธภพกับท่านไม่ใช่หรือ ต้องพาท่านมาเจอนางบ้าง”
เฉินจี้ถาม “นางไม่อยู่บ้านหรือ?”
เสียงอูหยุนเริ่มเบาลง “คงถูกขายไปแล้วกระมัง กรงกับชามข้าวของนางก็ไม่อยู่แล้ว”
“ให้ข้าช่วยตามหานางไหม?”
“ไม่หาแล้ว นี่แหละชะตาของแมว”
“ห่อเล็กที่เจ้าเอามา ข้างในคืออะไร?”
“ข้าแอบสะสมปลาแห้งเล็กๆ น้อยๆ ไว้ อยากเอามาให้นาง”
เฉินจี้ยืนนิ่งในความมืดของซอยเล็ก ไม่เอ่ยคำใดออกมา เพียงโน้มตัวอุ้มอูหยุนไว้ในอ้อมแขน เดินกลับไปทางโรงยา
อูหยุนไม่ดิ้นรน มันขดตัวเป็นก้อนเล็กๆ ใช้หางขนฟูคลุมหัวไว้
เสียงฝีเท้าบนแผ่นหินสีเขียวดังตุบๆ ตับๆ แผ่นหลังของเด็กหนุ่มผอมเกร็งแต่ตั้งตรง
“เฉินจี้ แม่ของเจ้าเป็นคนแบบไหน?”
“นาง...เป็นคนอ่อนโยนมาก” เฉินจี้ไม่อยากพูดอะไรมากกว่านี้ ราวกับความทรงจำเป็นกระแสลมอุ่นเหมือนลมหายใจ พอพูดออกมาทางปาก มันก็หนีหายไป
เขาอุ้มอูหยุนเดินบนถนนใหญ่เมืองหลัว อูหยุนอายุแค่ไม่กี่เดือน ยังตัวเล็กมาก ยามขดกายจึงใหญ่เพียงสองฝ่ามือ
เฉินจี้รู้สึกอยากมีชีวิตที่ดีขึ้นมาทันที
“อูหยุน?”
“อืม?”
“พึ่งพาอาศัยกันไปนะ”
(จบตอน)
______________
ปัจจุบันแปลถึงตอน: -
ติดตามผู้แปล : www.facebook.com/bjknovel/
#พระเอกเทพ #นิยายแฟนตาซี #qingshan
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น