ตอนที่ 0057 ทางเลือก



ท่ามกลางราตรีฝนโปรยปราย  เฉินจี้ดึงเสื้อฟางกันฝนอันหนักอึ้งทิ้ง  เหลือไว้เพียงงอบคลุมศีรษะ  ก่อนจะปราดเท้าวิ่งสุดกำลัง


เขาก้มมองดูบาดแผล  เห็นรอยฉีกลึกราวครึ่งเล็บก้อย  ทอดยาวจากกระดูกไหปลาร้าลงมาถึงอก


โลหิตยังคงไหลริน  ระคนกับสายฝนจนอาภรณ์ชุ่มโชก


เฉินจี้รู้สึกราวกับว่า  ชีวิตของตนกำลังไหลรินออกไปพร้อมกับโลหิตทีละหยด


“ซวยชะมัด”


แผนเดิมของเขาคือ  ปล่อยให้มีดบาดเพียงผิวเผิน  ใช้กลอุบายทำร้ายตนเองเพื่อแสดงละครหลบหนี


ทว่าเขามิใช่ผู้ฝึกวิชามานานปี  ควบคุมร่างกายได้ไม่ดีพอ  ทำให้แผลลึกเกินไป


ยามนี้  บาดแผลปวดร้าวแทงใจ  แม้สายฝนเย็นเฉียบก็มิอาจบรรเทาความแสบร้อน


แต่เวลานี้มิใช่ยามครุ่นคิดถึงบาดแผล  เฉินจี้ฉีกชายเสื้อมาพันแผลอย่างเรียบง่าย  พลางหันกลับไปตะโกน  “เร็วเข้า!  หากจับสายลับแปรพักตร์นั่นไม่ได้  จนถูกสือเฉาตำหนิ  ข้ากับเจ้าต่างก็รับผิดไม่ไหวแน่!”


สายลับราชวงศ์จิ่ง  “......”


หนึ่งคนนำหนึ่งคนตาม  ฝ่าม่านฝนทีละชั้น  ห่างจากตรอกชุดแดงมากขึ้นเรื่อยๆ


ครั้นวิ่งไปได้ไกล  สายลับราชวงศ์จิ่งก็หอบหายใจถี่พลางกล่าว  “ท่าน…ท่าน…หยุดวิ่งก่อน  ท่านต้องแจ้งข้าก่อนว่า  เรื่องราวมันเป็นมาอย่างไร!”


เฉินจี้วิ่งเข้าไปในตรอกแคบแห่งหนึ่ง  หลังมั่นใจว่าในตรอกไร้ผู้คน  จึงกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม  “บ่อนเฉาชางเป็นกับดัก  กรมสืบลับไม่ได้จับใครเลย  จินจูประกาศออกไปว่าจับคนได้แล้ว  ก็เพราะต้องการล่อพวกเจ้าเข้าไปต่างหาก”


สายลับราชวงศ์จิ่งกึ่งเชื่อกึ่งสงสัย  “แต่พวกเราได้ข่าวมาว่า......”


“หน่วยสืบลับที่แฝงตัวเข้ามาน่ะหรือ?  จินจูรู้ตัวตนเขานานแล้ว  ข่าวนั่นมันจงใจปล่อยมาหลอกเรา!”


สายลับยังคงไม่อาจเชื่อได้  เขากำด้ามดาบแน่น  ค่อยๆ เดินเข้าใกล้เฉินจี้  “ท่าน  มีเรื่องอื่นที่พิสูจน์ตัวตนได้อีกหรือไม่?”


เฉินจี้ครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วกล่าว  “หอไป๋ลู่  พอหรือยัง?  เมื่อคืนพวกเจ้าไปรับสินค้าที่ ‘จินฟาง’ ในตรอกชุดแดง  ใช่หรือไม่?  รหัสลับ  ‘หลัวเทียน’!”


สายลับไม่รู้จักการมีอยู่ของหอไป๋ลู่  จึงไม่เข้าใจประโยคแรก


แต่ปฏิบัติการรับสินค้าเมื่อคืนนั้น  เขาเป็นหนึ่งในผู้ร่วมภารกิจ


สายลับรู้ดี  หากเฉินจี้รู้รายละเอียดการปฏิบัติการเมื่อคืนละเอียดขนาดนี้  แล้วตัวจริงคือคนของกรมสืบลับราชวงศ์หนิง  พวกเขาคงถูกล้อมปราบไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว


ดังนั้น  เฉินจี้จึงไม่มีทางเป็นคนของกรมสืบลับได้เลย  สถานะเดียวคือสายลับแฝงตัวของกรมข่าวกรองราชวงศ์จิ่ง


สายลับมองเฉินจี้ด้วยความเคารพยำเกรง  “ลำบากพี่น้องแล้ว  การแฝงตัวย่อมไม่ง่าย  ข้าเผลอฟันท่านเจ็บด้วย”


เฉินจี้ยกมือห้าม  “ต่างก็รับใช้ราชวงศ์จิ่งด้วยกัน  เจ้าไม่รู้ตัวตนข้ามาก่อน  ไม่ถือโทษโกรธหรอก”


สายลับถาม  “พวกเราจะทำอย่างไรต่อ?”


เฉินจี้ตอบ  “ข้ารู้แล้วว่าผู้แปรพักตร์อยู่ที่ใด  เจ้าตามข้าไปจับกุมเขา”


ทว่าสายลับลังเลครู่หนึ่ง  สุดท้ายกล่าวอย่างหนักแน่น  “ไม่ได้การ  ยามนี้ท่านสือเฉายังล้อมโจมตีบ่อนอยู่  ข้าต้องไปแจ้งพวกเขาก่อนว่า  นั่นเป็นกับดัก  เอาอย่างนี้แล้วกัน  ท่านบอกข้ามาว่าสายลับแปรพักตร์อยู่ที่ใด  ข้าจะไปรายงานท่านสือเฉา  แล้วรีบนำคนตามมาสมทบ…เดี๋ยวก่อน!”


ชั่วพริบตาต่อมา  เฉินจี้พุ่งเข้าใส่สายลับฉับพลัน  สายลับพลันตื่นตระหนก  คิดจะชักดาบต้าน  แต่กลับถูกเฉินจี้ฟาดใส่หลังมือในพริบตา


แคร้ง!  ดาบในมือร่วงกระแทกแผ่นหิน


“เจ้า?!”  สายลับนัยน์ตาหดเล็ก  ทั้งสองประสานกำปั้น  เข้าปะทะกันอย่างดุเดือด


แต่เฉินจี้ยามนี้หาได้อ่อนแอดังเมื่อครั้งอยู่บ่อนพนัน  กระฉับกระเฉงว่องไวยิ่ง  มิใช่ฝีมือที่สายลับจะต้านทานไหว


ทั้งที่ออกหมัดพร้อมกัน  แต่หมัดของเขายังไปได้แค่ครึ่งทาง  หมัดเฉินจี้กลับซัดเข้าใบหน้าเขาเสียแล้ว


สายลับเพิ่งเข้าใจ  ที่บ่อนเฉาชางนั้น  อีกฝ่ายแสร้งทำเป็นอ่อนแอต่างหาก!


ในชั่วพริบตา  เฉินจี้ย่อตัวต่ำ  ใช้ไหล่และศอกพุ่งเข้ากระแทกอกสายลับ


สายลับรู้สึกเหมือนถูกม้าศึกพุ่งชน  ถอยร่นไปทีละก้าว  จนหลังกระแทกผนังตรอก!


สายลับราชวงศ์จิ่งเดิมก็บาดเจ็บหนักจากการตกจากชั้น 2  บัดนี้ถูกโจมตีหนักหน่วงซ้ำใส่  ลมหายใจติดขัดจนแทบสำลัก  ได้แต่ค่อยๆ คุกเข่าลงกับพื้น


เฉินจี้เดินเข้าใกล้ทีละน้อย  สายลับรวบรวมแรงสุดท้าย  ชักมีดสั้นจากในรองเท้าแทงเข้าใส่


แต่เฉินจี้เตะมีดสั้นหลุดมือ  ดึงฝักดาบจากเอวสายลับ  อ้อมไปด้านหลัง  นำฝักดาบพาดคอรัดแน่น


ทั้งสองล้มหงายไปด้วยกัน  นอนบนแผ่นหิน  เหลือบมองหยาดฝนที่โปรยลงมาจากฟากฟ้าสู่ตรอกอันคับแคบ


ราวกับได้นอนอยู่บนลานกลางบ้าน  สายตาเหลือเพียงมุมเล็กๆ ของโลกใบนี้


เฉินจี้ออกแรงทั้งสองมือ  ฝักดาบบดขยี้ลูกกระเดือก  ปิดกั้นทางหายใจ


สายลับสิ้นลมไปทั้งอย่างนั้น  จนตายก็ยังไม่เข้าใจว่า  หน่วยสืบลับของราชวงศ์หนิงคนหนึ่ง  เหตุใดจึงรู้เรื่องราวของกรมข่าวกรองพวกเขามากมายนัก


ครู่ต่อมา  เฉินจี้ลุกขึ้นอย่างอ่อนล้า  ซ่อนศพสายลับไว้ในกองสิ่งของรกร้างในตรอก


เขายืนนิ่งท่ามกลางสายฝนชั่วครู่  ก่อนจะหยิบดาบของสายลับเดินออกจากตรอก


คืนนี้เวลาของเขากระชั้นชิดยิ่ง


......


......


บนถนนอันซี  ร้านรวงเรียงราย  มักมีผู้ค้าที่ทำมาค้าขายไม่คล่องย้ายออก  แล้วมีพ่อค้าใหม่ย้ายเข้ามาแทน


เมื่อครึ่งเดือนก่อน  ร้านขายผ้าล้มละลาย  จนบัดนี้หน้าร้านก็ยังมิได้มีใครมาเช่าต่อ


เฉินจี้บรรจงปีนขึ้นหลังคาข้างร้านขายผ้า  ย่อตัวต่ำ  เดินบนสันหลังคาอย่างระมัดระวัง  มองลงไปสังเกตการณ์ลานหลังร้านขายผ้า


คืนนี้ที่เขาต้องลำบากลำบน  ก็เพื่อรักษาตัวรอด  ไม่ให้ผู้ใดขายความลับของตน


และบัดนี้  เป้าหมายอยู่ตรงหน้าแล้ว


เฉินจี้ถามอูหยุนข้างกายเสียงแผ่ว  “แน่ใจหรือว่าที่นี่?”


อูหยุนพยักหน้าร้องเมี้ยว  “แมวสลิดที่ข้าถามมา  ทีแรกพาน้องๆ มาพักที่นี่  แต่ถูกคนผู้นั้นรบกวน  ต้องวิ่งไปหลบฝนบนถนน”


เฉินจี้เผยสีหน้าแปลกประหลาด  “เจ้าไปกล่อมแมวสลิดให้ชี้ทางได้อย่างไร  ไม่ใช่ว่ามันอารมณ์ร้ายหรอกหรือ?”


อูหยุนเชิดหน้า  ยกอุ้งเท้าทำท่าทาง  “ก็ตีให้หนักๆ ยังไงล่ะ!  แต่ข้าสัญญากับมันแล้ว  คราวหน้าถ้าพวกมันตีกับแมวถนนอันตง  ข้าจะช่วยมันสักครั้ง”


เฉินจี้  “......”


สังคมของเหล่าเจ้าเหมียว  ก็ซับซ้อนถึงเพียงนี้หรือ?


อูหยุนมองเฉินจี้ด้วยความเป็นห่วง  “สีหน้าท่านแย่มาก  บาดแผลเป็นอย่างไรบ้าง?”


“นิดหน่อย”  เฉินจี้กล่าวอย่างตรงไปตรงมา  “แต่ตอนนี้มีเรื่องสำคัญกว่าบาดแผล  เดินเถอะ  ไปจบเรื่องนี้เสียที”


เขาเกาะขอบหลังคา  ร่อนตัวลงสู่ลานหลังร้านขายผ้าอย่างเบาหวิว  แล้วย่อตัวลงกับพื้นดุจแมวป่า  เหลือบมองสำรวจสภาพรอบข้างอย่างระมัดระวัง


ประตูเรือนหลักเปิดกว้าง  บนบานประตูที่เปิดอ้านั้น  ยังมีรอยมือเปื้อนเลือดติดอยู่


เฉินจี้ชี้ไปทางหน้าต่างให้อูหยุนดู  คนกับแมวแยกกันเข้าหาเรือนหลักจากสองทิศ


เม็ดฝนกระทบหลังคากระเบื้องสีเทา  ส่งเสียงแต๊ะๆ ดังเป็นจังหวะ  หากไม่มีการฆ่าฟัน  คงเป็นอากาศดีที่เหมาะแก่การห่มผ้านอนหลับสบาย


เฉินจี้ถือดาบยาวแบบคว่ำมือ  เดินมาถึงหน้าประตูเรือนหลัก...ภายในไม่มีคนซุ่มโจมตี


เห็นเพียงในความมืดสลัว  ร่างอันอิดโรยนอนแผ่หลาอยู่กับพื้น  หายใจแผ่วเบา  พื้นเรือนเต็มไปด้วยคราบเลือด  ร่างที่นอนอยู่นั้นมีบาดแผลไม่ต่ำกว่าสิบแห่ง


เมื่อเฉินจี้เข้าใกล้  คนที่นอนอยู่กลับพลิกตัวลุกขึ้น  มือควักมีดสั้นออกมา  แล่นเฉือนเข้าหาลำคอเฉินจี้ราวกับงูพิษแลบลิ้น!


เฉินจี้ยกดาบยาวปัดมีดสั้นออก  แต่อีกฝ่ายเกาะติดดุจหนอนแมลง  ลงมือด้วยกระบวนท่าอำมหิตร้ายกาจ  โจมตีไม่ขาดสาย!


คนผู้นี้ไม่ใช่สิงกวนแน่  แต่ลมปราณฆ่าฟันกลับแรงกล้า  เสียยิ่งกว่าสายลับและหน่วยสืบลับทุกคนที่เฉินจี้เคยพบมา!


เฉินจี้ได้แต่ถอยหลังทีละก้าว  รอให้อูหยุนจู่โจมจากด้านหลัง


ขณะนั้น  ฝ่ายหนึ่งไล่ล่า  อีกฝ่ายถอยร่น  ทั้งคู่มาถึงริมประตูเรือนหลัก


แต่เมื่อสายลับแปรพักตร์ผู้นั้น  อาศัยแสงจากภายนอกมองเห็นใบหน้าใต้งอบของเฉินจี้ชัดเจน  กลับร้องอุทานด้วยความตกใจ  แล้วรีบเก็บมีดสั้นกลับไปทันที


ท่ามกลางความตะลึงงันของเฉินจี้  อีกฝ่ายทรุดนั่งลงกับพื้นอย่างไร้การระวัง  ราวกับน้ำมันหมดตะเกียงดับ  กล่าวด้วยเสียงอ่อนแรง  “เฉินจี้  ลุงของท่านพ่ายแพ้ในศึกทางการเมืองราชวงศ์จิ่ง  มีคนกำลังลอบกำจัดพรรคพวกของเขา!  สือเฉาเป็นคนของลู่กวนอู้  พวกเขาเริ่มลงมือแล้ว  ท่านระวังตัวไว้ด้วย!”


กล่าวจบประโยคนี้  อีกฝ่ายราวกับหมดแรงสุดท้าย  ล้มนอนลงอีกครั้ง


เฉินจี้  “......”


เขาคาดการณ์ไว้ว่า  เมื่อเข้าไปในเรือนจะต้องมีการฆ่าฟันกัน  หรือไม่ก็อีกฝ่ายอาจบาดเจ็บสาหัสตายไปแล้ว


เขามาที่นี่เพื่อฆ่าปิดปาก  แต่ไม่คิดว่าเรื่องราวจะคลี่คลายไปในทางที่พลิกความคาดหมายของตนโดยสิ้นเชิง


มิน่าเล่า  คนผู้นี้ไม่หนีออกนอกเมือง  ไม่หนีไปยังสถานที่ผู้คนพลุกพล่าน  แต่กลับมายังถนนอันซีราวกับมาตาย  ที่แท้ก็เพื่อมาเตือนภัยให้ตน...


แต่สิ่งที่อีกฝ่ายพูดเป็นความจริง  หรือเป็นคำโกหกที่แต่งขึ้นเพื่อเอาตัวรอด?  เฉินจี้ไม่อาจแน่ใจ


เขามองสำรวจไป  เห็นคนบาดเจ็บอายุราวยี่สิบเจ็ดปี  ใบหน้าซีดขาว  หายใจอ่อนแรง  แต่งกายเรียบง่าย  ดูเหมือนคนหามเกี้ยวหรือกุลีแบกหามทั่วไป


เฉินจี้เสียเลือดมากจนรู้สึกเวียนศีรษะ  เขาใช้ดาบยันตัวพิงกรอบประตู  ถามด้วยน้ำเสียงสงบ  “ท่านอยู่ในสภาพนี้ได้ยังไง  สือเฉาส่งคนมาไล่ล่าท่านเพราะเหตุใด?”


คนเจ็บนอนหงายหัวเราะเศร้า  “ข้าถูกฝึกโดยลุงของท่าน  แล้วส่งมาราชวงศ์หนิง  สือเฉาย่อมต้องการสังหารข้าเป็นอันดับแรก  น่าเสียดายที่ไอ้พวกปลาเน่ากุ้งตายนั่น  ช่างอ่อนแอเหลือเกิน”


เขาพูดพลางยกมือขึ้นอย่างลำบาก  กางนิ้วทั้งห้า  “ข้าเชือดไปห้าคน  พวกมันห้าคนจะสังหารข้ายังไม่สำเร็จเลย  เก่งไหมล่ะ?”


เฉินจี้ไม่หวั่นไหว  “ข้าจะเชื่อท่านได้อย่างไร?”


คนบาดเจ็บนิ่งเงียบครู่หนึ่ง  หอบหายใจพลางหัวเราะ  “ยอดเยี่ยมมาก  ข้าสั่งสอนเจ้ามาหลายปี  สอนให้เจ้าอย่าเชื่อคำพูดของใครง่ายๆ ในที่สุดก็ซึมซับคำสอนได้เสียที”


เฉินจี้นิ่งเงียบ


คนผู้นี้กลับเป็นอาจารย์ผู้ฝึกสอนตน  หลังเข้ากรมข่าวกรองหรือ?


หากพิจารณาจากเบาะแสในปัจจุบัน  ดูเหมือนอีกฝ่ายจะเป็นคนที่ลุงของตนจงใจส่งมาราชวงศ์หนิง  เพื่อนำพาตนเข้าสู่กรมข่าวกรอง


แต่เฉินจี้ไม่ใช่เฉินจี้คนเดิมอีกต่อไป  แม้แต่ชื่อของอีกฝ่าย  เขาก็ยังเรียกไม่ออก  และไม่อาจเชื่อถือคำพูดของอีกฝ่าย


เขาไม่เคยพบหน้าลุงของตนเองด้วยซ้ำ


อีกอย่าง  คำพูดของอีกฝ่ายยังมีหลายจุดที่ขัดกับเหตุผล  หากสือเฉาต้องการฆ่าตนจริง  เหตุใดคืนนี้ที่โรงยาไท่ผิงจึงไม่ลงมือ?


เดี๋ยวนะ  หากเป็นอย่างที่ตนวิเคราะห์ไว้ก่อนหน้านี้  ใต้หน้ากากสือเฉาไม่ได้มีแค่คนเดียว  อาจมี ‘บางคน’ ต้องการสังหารตน  แต่บางคนไม่ต้องการ?


ยังสรุปไม่ได้  มีเรื่องไม่แน่ใจมากเกินไป  เฉินจี้รู้สึกเหมือนสมองถูกคนกวนเข้าด้วยกัน  จนกลายเป็นน้ำโคลนขุ่นข้น


เฉินจี้ถาม  “ท่านใกล้ตายแล้ว  เหตุใดยังฝืนร่างกายบาดเจ็บมาเตือนภัยให้ข้า?”


คนบาดเจ็บอึ้งไปชัดเจน  เขาค่อยๆ มองหน้าเฉินจี้  พูดด้วยน้ำเสียงไม่อยากเชื่อ  “เจ้ากับข้าเป็นคู่หูกันมาหลายปี  พี่น้องร่วมชะตา  ยังต้องถามอีกหรือ?  เจ้าคิดว่าข้าอู๋หงเปียวเป็นคนแบบไหนกัน?!”


เฉินจี้  “......”


ต่อคำพูดนี้  เขาตอบไม่ถูกจริงๆ


เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่า  ตนเคยมีสายสัมพันธ์แบบใดกับอู๋หงเปียวผู้นี้


ขณะนั้น  อู๋หงเปียวค่อยๆ กล่าว  “ข้าคงกลับราชวงศ์จิ่งไม่ได้แล้ว  ขอฝากเจ้าเรื่องหนึ่งได้หรือไม่?”


เฉินจี้พูดเสียงสงบ  “เชิญกล่าว”


“น้องสาวที่ข้าเคยเล่าให้ฟัง  ยังอยู่ที่ราชวงศ์จิ่ง  หากวันใดเจ้ามีโอกาสกลับไปราชวงศ์จิ่ง  ขอวิงวอนให้เจ้าไปขอร้องท่านลุงช่วยเหลือนาง  แม้ท่านจะออกจากราชสำนักแล้ว  แต่เรื่องเล็กๆ เช่นนี้ย่อมทำได้  ช่วยทำให้ข้าได้หรือไม่?!”


เฉินจี้นิ่งเงียบ  เขาไม่อาจรับปากได้


อู๋หงเปียวเห็นเขาไม่ตอบ  อารมณ์พลุ่งพล่านทันที  กระทบบาดแผลจนแม้แต่หายใจยังต้องใช้แรงทั้งตัว


เขาพักหายใจนาน  จ้องเฉินจี้ด้วยแววตาโกรธแค้น  “เฉินจี้  เจ้าเปลี่ยนไปแล้วหรือ?!  ข้ายังเคยล้อเล่นว่า  พอกลับราชวงศ์จิ่งจะจับคู่พวกเจ้าเลย  เฉินจี้  ข้าขอร้อง  หลังข้าแปรพักตร์  กรมข่าวกรองจะไม่ปล่อยนางแน่  หากท่านลุงของเจ้าไม่ช่วย  ชีวิตของนางคงจบสิ้นแล้ว”


เฉินจี้ยังคงไม่ตอบ  เขายกดาบขึ้น  บรรจงเดินไปหาอู๋หงเปียว  แล้วแนบคมดาบกับเส้นเลือดแดงตรงลำคอ


อู๋หงเปียวเบิกตากว้าง  จ้องมองเขาด้วยความไม่อยากเชื่อ


ในห้องที่มืดสลัว  สีหน้าทั้งหมดของเฉินจี้ซ่อนอยู่ใต้เงางอบ


ภายนอกฝนหยุดตกกะทันหัน  โลกเงียบสนิท


ราวกับแม้แต่โชคชะตาก็รอให้เขาตัดสินใจ  จะฆ่าคนที่ ‘อาจ’ เสี่ยงตายมาเตือนภัย  แต่ก็ ‘อาจ’ ทำให้ตัวตนของเขาเปิดเผยหรือไม่


ในที่สุด  เฉินจี้เก็บดาบ  ค่อยๆ เดินออกจากเรือน


เขายืนในลานเรือนถอนหายใจยาว  กล่าวเสียงเบา  “อูหยุน  ช่วยข้าดูแลเขาด้วย”


(จบตอน)  


______________
ลงทุกวันจันทร์ อังคาร พุธ เสาร์ อาทิตย์
ปัจจุบันแปลถึงตอน: 0087
ติดตามผู้แปล : www.facebook.com/bjknovel/
#พระเอกฉลาด #นิยายแฟนตาซี #qingshan
Previous Coming Soon

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตอนที่ 0001 กลับสู่ศูนย์

ตอนที่ 0007 บุพการี

ตอนที่ 0010 ตำหนักหวั่นซิง